เอิร์น ลูกชายคนที่สองของบ้านภัสสร เด็กหนุ่มติดแม่ และยกให้แม่เป็นคนที่สำคัญเหนือทุกสิ่งในเรื่อง เลือดข้นคนจาง คือผลงานล่าสุดของ กัปตัน-ชลธร คงยิ่งยง หนึ่งในศิลปินจากโปรเจกต์พัฒนาศิลปิน 9×9 ของค่าย 4NOLOGUE
ถึงแม้ว่ากัปตันจะเคยมีผลงานด้านการแสดงมาแล้วหลายเรื่อง แต่บทบาทใน เลือดข้นคนจาง คือครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้ใช้ความพยายาม ความสามารถ และความรักทุ่มให้กับผลงานชิ้นนี้ หลังจากที่ผ่านมาเขารู้สึกแค่ว่าตัวเองไม่ใช่คนเก่ง เพียงแต่เป็นคนที่ ‘โชคดี’ กว่าคนอื่นเท่านั้นเอง
เมื่อค้นพบตัวตนและแพสชันที่เคยตามหามานาน ก็ถึงเวลาแล้วที่กัปตันจะเข้าสู่โหมดพัฒนาตัวเองแบบเต็มตัวเพื่อพิสูจน์ตัวเองในฐานะศิลปิน ที่ต่อให้กระแสและคำวิจารณ์จะรุนแรงแค่ไหนก็ไม่สามารถฉุดเขาไว้ได้อีกต่อไป
ในมุมมองของกัปตัน ตัวละคร เอิร์น เป็นคนแบบไหน
ลูกคนที่สองของบ้านภัสสร (รับบทโดย แหม่ม-คัทลียา แมคอินทอช) คอยช่วยแม่ดูแลกิจการโรงแรมที่พัทยา เอิร์นเป็นคนจิตใจดี ขี้สงสาร แคร์ความรู้สึกของทุกคน แต่จะแคร์ความรู้สึกแม่มากที่สุด แล้วก็เป็นคนคิดมาก แต่ชอบเก็บสิ่งที่คิดเอาไว้ในใจ ไม่กล้าพูดหรือแสดงออกมา
ซึ่งถือว่าคล้ายผมในเรื่องคิดมาก แต่ไม่ค่อยกล้าทำอะไร สมมติมีทางเลือกสองทางก็จะมัวแต่คิดว่าถ้าไปทางซ้ายจะดีอย่างไร ถ้าไปทางขวาจะแย่อย่างไร ใช้เวลาคิดอยู่นานมาก แล้วส่วนใหญ่ก็จะไม่กล้าเลือก อยู่ตรงกลางระหว่างซ้ายกับขวา ไม่ไปไหนสักที ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผมขี้กลัวด้วยมั้งครับ กลัวว่าการตัดสินใจของเราจะไปกระทบและทำให้ใครเดือดร้อนหรือไม่สบายใจหรือเปล่า
แต่เรื่องติดแม่อาจจะไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไร ไม่สิๆ พูดแบบนี้ไม่ได้เนอะ (หัวเราะ) ผมแคร์แม่มากเหมือนที่เอิร์นแคร์ภัสสรที่สุด แต่ด้วยเวลาและการทำงานที่ไม่เหมือนกัน ทำให้เราไม่มีเวลากับแม่มากเท่าไร บวกกับนิสัยของผมที่บางครั้งก็จะติสท์แตก ชอบอยู่คนเดียวด้วย
ถ้าชีวิตจริงไม่ติดแม่ แล้วกัปตันมีคนที่ติดเป็นพิเศษบ้างหรือเปล่า
เวลามีแฟนผมจะติดแฟนนะ แต่ถ้าไม่มีผมก็อยู่คนเดียวได้ ไม่มีปัญหาอะไร ผมสามารถทำอะไรด้วยตัวคนเดียวได้ทุกอย่างเลยนะ กินข้าว ดูหนัง ไปไหนมาไหน เดินไปเรื่อยๆ คนเดียว บางทีแค่ไปนั่งร้านกาแฟ นั่งฟังเพลงเฉยๆ หรือเปิดยูทูบดูคลิปทำอาหาร ดูศิลปิน หาความรู้ใหม่ๆ แค่นี้ผมก็อยู่ได้ทั้งวันแล้ว
ในละคร เลือดข้นคนจาง จะเห็นว่าครอบครัวเป็นส่วนสำคัญในการหล่อหลอมคนคนหนึ่งให้เติบโตขึ้นมา ในชีวิตจริงกัปตันได้รับอิทธิพลเรื่องไหนมาจากสภาพแวดล้อมในครอบครัวบ้าง
มีผลมากนะครับ ที่ชัดๆ ก็คือตัวตนพื้นฐานของผมที่คิดว่าครอบครัวส่งมาให้ก่อนเลย ซึ่งก็มีทั้งเรื่องที่ส่งผลดีและส่งผลเสียในตอนหลังเหมือนกัน เรื่องที่ดีคือนิสัยขี้สงสาร ไม่อยากเป็นภาระให้กับคนอื่น ทำให้ผมค่อนข้างแคร์ความรู้สึกของคนอื่นมากกว่าตัวเองอยู่เสมอ
ซึ่งผลที่ต่อเนื่องจากนั้นคือพอไม่อยากทำให้คนอื่นเดือดร้อน ผมก็จะพยายามทำตัวอยู่ในกรอบมาตลอด แต่พอตัวเราโตขึ้น ตอนอายุประมาณ 15-16 ปีเป็นช่วงที่รู้สึกว่ากรอบนั้นเริ่มคับเกินไป แทนที่จะค่อยๆ ขยายกรอบออกไปเรื่อยๆ แต่ผมจะพยายามยัดตัวเองอยู่ในกรอบนั้นต่อไป จนอายุ 18 กรอบเริ่มแตกแล้ว พออายุ 19-20 ก็เข้าสู่ช่วงที่ออกมาจากกรอบเต็มๆ แล้วทุกอย่างรุมเข้ามาเต็มไปหมดจนเราไม่รู้ว่าต้องรับมือกับทุกอย่างอย่างไร
มีเรื่องไหนบ้างที่ทำให้กัปตันรู้สึกอึดอัดหรือคิดว่าอยากทำมากๆ แต่ไม่สามารถทำได้
ง่ายที่สุดก็คือเรื่องเที่ยวกลางคืน เพื่อนเริ่มไปตั้งแต่อายุ 15-16 ปี เราเห็นก็อยากไปบ้าง แต่ไม่กล้า เพราะรู้ว่าอายุยังไม่ถึงและกลัวคุณพ่อคุณแม่ว่า พออายุ 17-18 เริ่มอึดอัดจนทนไม่ไหว แต่ก็ยังไม่ไปอยู่ (หัวเราะ) พออายุ 19-20 ที่มีบางร้านที่เราสามารถไปได้ถึงเริ่มได้ไป ซึ่งจริงๆ ไม่ได้คิดว่าอยากไปดื่มแอลกอฮอล์หรืออะไรเลยนะ แค่รู้สึกว่าเราชอบฟังเพลง เราชอบบรรยากาศ แต่อย่างที่บอกว่าพอกดเอาไว้มากๆ ไปถึงจุดหนึ่งก็เกือบพังเหมือนกัน ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ ยังมีอีกหลายเรื่องมากที่เข้ามาแล้วรับมือไม่ได้
คิดว่าเรื่องไหนที่รับมือได้ยากที่สุด
ทุกเรื่องที่อยู่นอกกรอบของเรา ที่เราไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันมีสิ่งเหล่านี้อยู่ ตอนแรกผมเคยอยู่ในจุดที่มองโลกทุกอย่างเป็นสวนดอกไม้ (หัวเราะ) เพราะถูกสอนมาแบบนั้น คิดว่าทุกคนเกิดมาด้วยความปรารถนาดีต่อกัน ซึ่งในโลกแห่งความจริงมันมีคนอีกหลากหลายรูปแบบเต็มไปหมด ไม่ได้หมายความว่าดีหรือไม่ดีนะครับ แต่แน่นอนว่าพอหลากหลาย มันต้องมีบางอย่างที่ทิศทางไม่ตรงกับเราและส่งผลตรงข้ามกับที่เราคิด แล้วพอเราไปอยู่กับความคาดหวังว่าทุกอย่างจะต้องดีไปหมด พอไม่เป็นอย่างที่คิดเราก็เจ็บ เสียใจ และรับมือกับมันไม่ได้
ช่วงที่เกิดเรื่องในข่าวก่อนหน้านี้ที่กัปตันถูกโจมตีพอสมควร เคยทำให้รู้สึกถึงขนาดว่าไม่อยากยืนอยู่ตรงนี้อีกต่อไปแล้วบ้างไหม
เคยมีช่วงที่อยากเลิกทำ ไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นนะครับ แต่เป็นช่วงที่พอทำงานมาได้สักระยะหนึ่งแล้วรู้สึกเบื่องานที่ทำอยู่ เหมือนผมทำงานทุกอย่างเพราะอยากได้เงิน แต่ไม่ได้ชอบ ซึ่งได้เงินมาก็ไม่ได้เอาไปใช้อะไรด้วยนะ เก็บเอาไว้เฉยๆ (หัวเราะ) จนคิดว่าได้เงินมาแล้วยังไงต่อล่ะ งานตัวเองก็ไม่ได้กลับมาดูด้วยซ้ำ เราทำงานไปแต่ละวันโดยที่นอกจากเงินที่เพิ่มขึ้นแล้วก็ไม่ได้รู้สึกเลยว่าในตัวเรามีอะไรที่พัฒนาขึ้นมาบ้าง
จนได้เข้ามาอยู่ในโปรเจกต์ 9×9 ที่รู้สึกว่า เฮ้ย ทำไมเราถึงไม่สนใจเรื่องเงินแล้ววะ ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเพราะอะไร แต่ไม่เคยคิดเลยว่าได้เงินเท่าไร รู้แค่ว่าพอทำงานวันนี้เสร็จ กลับมาดูตัวเองแล้วรู้สึกว่าชอบจังเลย เมื่อก่อนเวลาดูคลิปศิลปินเกาหลีในยูทูบที่ผมบอกว่านั่งดูได้ทั้งวันแล้วก็คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเราบ้างไหมนะ ตอนนี้รู้สึกว่า เออ งานที่เราทำมันค่อนข้างใกล้เคียงกับภาพนั้นแล้วเหมือนกันนะ
ทั้งความตั้งใจของทีมงานทุกคน ความทะเยอทะยานในโปรเจกต์ที่อยากพัฒนาศิลปินให้เท่ากับศิลปินต่างชาติ การเก็บตัวซ้อมอย่างหนักเพื่อทำผลงานให้ออกมาดีที่สุด นี่เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่รู้สึกว่าผมได้ใช้ความพยายาม ดิ้นรนทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มายืนอยู่ในโปรเจกต์นี้
พูดแบบนี้ได้ไหมว่าเมื่อก่อนกัปตันอาจจะใช้ต้นทุนของหน้าตาและความสามารถที่มีอยู่มาใช้ในการทำงานอย่างเดียว
ไม่เคยได้ใช้อะไรเลยครับ ที่ผมใช้มีแค่อย่างเดียวคือความโชคดี เพราะไม่ว่าจะเรื่องหน้าตาหรือความสามารถ ต่อให้ไม่ใช่ผมก็เป็นคนอื่นได้อยู่ดี แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ความโชคดี มันคือความสามารถที่เราพยายามพัฒนาขึ้นมาจริงๆ
และไม่ใช่แค่ความพยายามของผมคนเดียว แต่หมายถึงความพยายามของทีมงานทุกคนและเพื่อนๆ อีก 8 คนในโปรเจกต์นี้ด้วยที่ทุกคนก็พยายามกันหนักมาก เราอยู่ร่วมกันโดยมีเป้าหมายเดียวกัน จนสุดท้ายมันกลายเป็นเหมือนความสัมพันธ์แบบคนในครอบครัวจริงๆ มันทิ้งกันไม่ได้ ถ้าจะรอดก็ต้องรอดด้วยกันทั้งหมด ไม่ใช่ว่าเก่งคนเดียว รอดคนเดียวก็พอ พวกเราไม่เคยคิดแบบนั้น
กระแสสังคม คำวิจารณ์ต่างๆ มีผลกับแพสชันและตัวตนที่กัปตันเพิ่งค้นหาเจอมากน้อยขนาดไหน
จะมีผลถ้าเป็นคอมเมนต์เกี่ยวกับงานของเราที่ต้องเอามาพัฒนาแก้ไขกันต่อไป แต่ถ้าเป็นกระแสเรื่องส่วนตัวอื่นๆ อาจจะมีผลบ้างในช่วงแรกๆ แต่พอเราเข้าใจความเป็นศิลปินมากขึ้น เราจะเริ่มมองเห็นว่าสุดท้ายแล้วทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราหมดเลย แล้วทุกคนก็จะเป็นห่วงผมกันหมดเลยนะครับว่า เฮ้ย เป็นยังไง รู้สึกยังไงบ้าง คือเขารู้สึกว่ามันน่ากลัวมากกว่าที่ผมคิดอีก (หัวเราะ) ซึ่งมันก็น่ากลัวจริงๆ แต่การรับมือที่ดีที่สุดก็คือทำงานพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆ ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ทั้งเรื่องส่วนตัวและความสามารถของผมดีที่สุด
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
- ละคร เลือดข้นคนจาง ออกอากาศทุกวันศุกร์ เวลา 20.45 น. และวันเสาร์ เวลา 20.10 น. ทางช่อง ONE 31