×

ตระกูลการเมืองกัมพูชา: โอกาสโค่นล้มระบอบฮุน เซน มีมากน้อยแค่ไหน?

14.08.2025
  • LOADING...

กัมพูชาเป็นหนึ่งในประเทศที่อำนาจนำทางการเมืองถูกครอบงำด้วย ‘ตระกูลการเมือง’ หลายตำแหน่งถูกส่งต่อกันผ่านความสัมพันธ์ทางสายเลือด ระบบเครือญาติและความใกล้ชิดสนิทสนม

 

‘ตระกูลฮุน’ ภายใต้การนำของ ฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ยังคงกุมอำนาจนำอย่างเบ็ดเสร็จ แม้เขาจะก้าวลงจากตำแหน่งผู้นำประเทศในทางนิตินัยไปแล้ว แต่การส่งไม้ต่อให้กับ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ซึ่งเป็นลูกชายคนโตของเขา ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ระบอบการเมืองภายใต้ตระกูลฮุนยังคงเดินหน้าต่อไปได้ 

 

ขณะที่ ฮุน มานี ลูกชายคนเล็กของฮุน เซน ก็ได้นั่งเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีข้าราชการพลเรือน ส่วน ฮุน มานิต ลูกชายอีกคนก็นั่งเก้าอี้หัวหน้าข่าวกรองด้านการทหารอีกด้วย ยังไม่นับรวมเครือข่ายอุปถัมภ์และพันธมิตรอื่นๆ ของตระกูลฮุนที่มีส่วนช่วยให้ตระกูลการเมืองนี้กุมอำนาจนำในกัมพูชามาได้ยาวนานกว่า 4 ทศวรรษ 

 

โครงสร้างอำนาจในกัมพูชา

 

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี อดีตบรรณาธิการข่าวอาวุโส และนักเขียนอิสระด้านอุษาคเนย์ อธิบายโดยย่อว่า โครงสร้างอำนาจในกัมพูชานั้นซ้อนทับกันอยู่ 3 โครงสร้าง ได้แก่ โครงสร้างของรัฐ พรรคการเมือง และกองทัพ 

 

กัมพูชามีรัฐบาลซึ่งบริหารงานโดยพรรคเดียวคือ พรรคประชาชนกัมพูชา ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากพรรคคอมมิวนิสต์ ทำหน้าที่เป็น Ruling Party ที่มีบทบาทในการกำหนดนโยบาย ทิศทาง และยุทธศาสตร์ทั้งหมด ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับพรรคการเมืองนี้มีความแนบแน่น

 

ขณะที่กองทัพนั้น สุภลักษณ์ระบุว่า โดยหลักการแล้วอยู่ภายใต้การนำของฝ่ายบริหารของรัฐบาลโดยตรง แต่ ฮุน เซน ได้สร้างความสัมพันธ์ระหว่างพรรคกับรัฐโดยอาศัยโครงสร้างแบบพรรคคอมมิวนิสต์ ที่พรรคมีขีดความสามารถในการกำกับดูแลกองทัพได้ อีกทั้งยังได้จัดตั้งหน่วย Special Command ที่เรียกว่า กองกำลังพิทักษ์นายกรัฐมนตรี (Bodyguard Headquarters: BHQ) ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกันกับกองทัพมาเสริมอำนาจอีกด้วย

 

ระบบโครงสร้างที่ซ้อนกันนี้ ทำให้ผู้มีอำนาจในกัมพูชาสามารถใช้กลไกได้ทุกส่วน ตัวอย่างเช่น ฮุน เซน สามารถใช้หน่วย Special Command ของเขา หรือใช้อำนาจบารมีส่วนบุคคลสั่งการ Royal Gendarmerie ซึ่งเป็น 1 ใน 4 เหล่าทัพที่ดูแลความมั่นคงภายใน เพื่อจัดการเรื่องการเมืองภายในกัมพูชา และสามารถสั่งการกองทัพเพื่อการป้องกันประเทศได้ จึงจะเห็นได้ว่า ตระกูลฮุนได้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จในกัมพูชาขณะนี้

 

ตระกูลการเมืองกับอำนาจนำ

 

พรรคประชาชนกัมพูชาในปัจจุบันมี 3 ตระกูลการเมืองใหญ่ที่คนทั่วไปมักมองว่าแข่งขันกัน ได้แก่ ตระกูลฮุน ตระกูลเตีย และตระกูลซอร์ สังกัดอยู่ในพรรคการเมืองเดียวกัน

 

สุภลักษณ์ระบุว่า ในโครงสร้างของรัฐบาลกัมพูชา กลุ่มตระกูลการเมืองเหล่านี้แบ่งพื้นที่ทางการเมืองค่อนข้างชัดเจน โดยตระกูลฮุนครองอำนาจนำสูงสุดคือ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขณะที่ตระกูลเตียคุมกลาโหม และตระกูลซอร์คุมมหาดไทย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการสืบทอดอำนาจจาก ‘พ่อสู่ลูก’

 

ส่วนประเด็นที่ว่า ทำไมอำนาจกองทัพถึงอยู่ในมือตระกูลฮุน ไม่ใช่ตระกูลเตีย สุภลักษณ์อธิบายว่า แม้ตระกูลเตียจะบริหารกระทรวงกลาโหมและเป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมกัมพูชามานานมาก แต่ในความเป็นจริงแล้วอำนาจไม่ได้ครอบคลุมกองทัพทั้งหมด ตระกูลเตียควบคุมได้เฉพาะกองทัพเรือ ซึ่งมีขนาดเล็กมาก เพราะมีพื้นเพมาจากเกาะกง ขณะที่กองทัพบก ซึ่งเป็นเหล่าทัพที่ทรงอำนาจที่สุดในกัมพูชานั้น ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลเตียแต่อย่างใด

 

อีกทั้งบทบาทของกองกำลังพิเศษ (Elite Guard) อย่าง BHQ รวมถึงเครือข่ายอุปถัมภ์และพันธมิตรของตระกูลฮุน เช่น ผู้บัญชาการทหารสูงสุดปัจจุบัน (วง พิเสน) และผู้บัญชาการ Royal Gendarmerie (ซอร์ สุขา) ก็ล้วนแล้วแต่จงรักภักดีต่อฮุน เซน ทำให้ความภักดีในเชิงอำนาจทางการทหารไปอยู่ที่ฮุน เซนทั้งหมด แทนที่จะอยู่กับตระกูลเตีย

 

ดังนั้น ตระกูลเตียจึงเหลืออำนาจในการสั่งการได้เฉพาะกองทัพเรือ และส่วนใหญ่ทำงานด้านธุรการและนโยบายในกระทรวงกลาโหม ซึ่งนโยบายก็มาจากรัฐบาลภายใต้การนำของ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ขณะที่ ฮุน เซน มีอำนาจเหนือนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชนกัมพูชา เขาสามารถควบคุมอำนาจได้ โดยการถอดถอนรัฐมนตรีจากการเป็นสมาชิกพรรค ซึ่งจะทำให้คุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีหายไป

 

โอกาสโค่นล้มระบอบฮุน เซน

 

ส่วนคำถามที่ว่า ตระกูลอันดับสองอย่างตระกูลเตีย จะสามารถขึ้นมางัดข้อและชิงอำนาจนำทางการเมืองไปจากตระกูลฮุนได้หรือไม่นั้น นอกจากปัจจัยเรื่องที่ตระกูลฮุนเป็น ‘ผู้กุมอำนาจที่แท้จริง’ ในกองทัพแล้ว สุภลักษณ์ยังกล่าวอีกว่า จริงๆ แล้วเป็นความเข้าใจผิด เพราะทั้ง 3 ตระกูลนี้ แม้คนภายนอกจะรู้สึกว่า พวกเขาแข่งขันกัน แต่จริงๆ แล้วพวกเขา ‘ร่วมมือ’ ซึ่งกันและกัน เพื่อรักษาระบบอำนาจนี้ให้คงอยู่ต่อไป

 

หากเราดูช่วงการเปลี่ยนผ่านอำนาจจากพ่อสู่ลูก ไม่มีภาวะขลุกขลักเลย แม้จะมีข่าวจากผู้สังเกตการณ์ภายนอกว่า ทั้ง เตีย บัน และ ซอร์ เค็ง สองผู้นำตระกูลเตียและตระกูลซอร์ สนับสนุนลูกชายของตัวเองให้แข่งกับ ฮุน มาเนต แต่ในท้ายที่สุดแล้ว ทั้งสองก็ต้องออกมาบอกว่าตัวเองสนับสนุน ฮุน มาเนต ให้ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยกันทั้งคู่

 

อีกทั้ง เตีย เซ็ยฮา รัฐมนตรีกลาโหมคนปัจจุบันที่รับไม้ต่อจาก เตีย บัน ผู้เป็นพ่อ พอจะเข้าสู่การบริหารงานจริงก็ไม่ได้เป็นสายผู้บัญชาการ แต่งานส่วนใหญ่กลับเป็นงานบริหารในเชิงการเมืองและงานมวลชน ขณะที่ ฮุน มาเนต ซึ่งอยู่ในกองทัพ และทำงานสายผู้บังคับบัญชามาโดยตลอด ทำให้อำนาจทางการทหารของพวกเขาทั้งสองคนแตกต่างกัน และทำให้ตระกูลเตีย ‘ไม่สามารถแข่งขัน’ กับตระกูลฮุนได้ในความหมายนี้

 

สอดคล้องกับมุมมองของ ทรงฤทธิ์ โพนเงิน นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง ที่เชื่อว่า การโค่นล้มระบอบฮุน เซน ในช่วงที่ฮุน เซน ยังอยู่นั้น ‘เป็นไปได้ยาก’ เพราะฮุน เซน รวบอำนาจกองทัพทั้งหมด ตั้งแต่ปี 2018 ก่อนการเลือกตั้ง โดยเขาโยกย้ายนายพล ผู้บังคับกองพล ผู้บังคับบัญชากองทัพที่ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจออกไปจากตำแหน่ง โดยให้เหตุผลว่าให้ไปลงสมัครเลือกตั้งแล้วจะได้เป็นรัฐมนตรี ซึ่งก็ได้เป็นรัฐมนตรีจริงๆ แต่ไม่มีบทบาทสำคัญมากนัก ดังนั้น ทุกวันนี้ที่เราเห็นตระกูลต่างๆ อยู่กันได้ด้วยดี ก็เพราะว่า พวกเขาประนีประนอมและแบ่งสรรอำนาจระหว่างกันเรียบร้อยแล้ว 

 

ภาพที่เราเห็นทุกวันนี้ไม่ใช่ภาพของกลุ่มตระกูลต่างๆ ที่จะล้มระบอบฮุน เซน แต่เป็นกลุ่มที่ประนีประนอมกับฮุน เซน ที่สำคัญก็คือเป็นกลุ่มที่ยอมรับอำนาจการนำของฮุน เซน เพราะฉะนั้นพวกเขาก็จะอยู่ด้วยกันได้ แต่กลุ่มที่ไม่ปรากฏให้เราเห็น ก็คือกลุ่มที่ถูกปลด ถูกย้ายออกไปจากอำนาจก่อนหน้านี้ แม้ทุกวันนี้พวกเขาจะไม่แสดงตัวและอยู่แบบโลว์โปรไฟล์ แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาหายไปจากการเมืองกัมพูชา เพียงแต่ว่าทุกวันนี้อำนาจในกองทัพตกอยู่ใต้การบังคับบัญชาของฮุน เซน และพรรคพวกโดยเบ็ดเสร็จแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม กองทัพกัมพูชาก็ยังมีความเหลื่อมล้ำ โดยสิ่งที่ทำให้ฮุน เซน มีความมั่นใจว่าไม่มีใครท้าทายตัวเองได้คือ กองกำลัง BHQ ราว 35,000 นายที่กระจายอยู่ในเมืองและศูนย์กลางอำนาจ ขณะที่ทหารโดยทั่วไปมักจะถูกย้ายไปอยู่พื้นที่ห่างไกลและไม่ได้มีกำลังอาวุธมากมายนัก 

 

ส่วนอดีตผู้นำฝ่ายค้านกัมพูชาคนสำคัญอย่าง สม รังสี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างลี้ภัยทางการเมือง สุภลักษณ์มองว่า บทบาทและอิทธิพลของสม รังสีนั้น ‘ไม่มีแล้ว’ ยกเว้นภาพลักษณ์ในต่างประเทศและในหมู่คนที่นิยม สม รังสีเท่านั้น หลังพรรคสงเคราะห์ชาติ หรือพรรคกู้ชาติ (CNRP) ของสม รังสี ถูกยุบ พันธมิตรต่างๆ ถูกแบน พรรคที่สืบทอดแนวคิดจากพรรคสม รังสี อย่างพรรคแสงเทียน (CLP) ก็ถูกสั่งห้ามลงเลือกตั้ง ดังนั้นตัวเชื่อมของสม รังสี กลับเข้าสู่ภายในประเทศจึงน้อยลงทุกทีและถูกจำกัดบทบาทอย่างมาก อีกทั้งผู้สนับสนุนส่วนใหญ่ก็อยู่นอกประเทศ ขณะที่ฮุน เซน ได้จำกัดสิทธิและกำจัดคู่แข่งทางการเมืองที่อยู่นอกพรรค CPP ไปหมดแล้ว

 

ขณะที่ทรงฤทธิ์มองว่า กลุ่มของสม รังสี เป็นกลุ่มต่อต้านที่ ‘มีพลังมากที่สุด’ ตอนนี้ หมายความว่า หากฮุน เซน เป็นอะไรไปในวันนี้ สม รังสีสามารถที่จะกลับไปครองความยิ่งใหญ่ได้ เพราะถ้าพรรคของสม รังสีไม่ถูกยุบเมื่อปี 2017 การเลือกตั้งในปี 2018 สม รังสีจะได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลาย นั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมฮุน เซน ถึงต้องสั่งยุบพรรคของสม รังสี โดยทรงฤทธิ์ยังระบุอีกว่า เยาวชน คนรุ่นใหม่ และกลุ่มคนที่อายุ 35 ปีลงมา เมื่อปี 2018 ล้วนแล้วแต่เป็นฐานเสียงของสม รังสีทั้งสิ้น

 

ปัจจุบันนี้คนที่อยู่ในห้วงอายุ 35 ลงมาคิดเป็นสัดส่วนราว 65% ของประชากรทั้งหมดในกัมพูชา นั่นหมายความว่าถ้ามีการเลือกตั้ง ใครได้คะแนนเสียงสนับสนุนจากคนกลุ่มนี้ก็คือ ผู้ชนะในการเลือกตั้ง จึงทำให้ฮุน เซน ต้องให้ความสำคัญกับการดึงพลังมวลชนที่เป็นเยาวชนให้มาอยู่ข้างตนเองมากขึ้น โดยตั้งสหพันธ์เยาวชนแห่งชาติ และให้ฮุน มานี ลูกชายคนเล็กของตนเองนั่งเป็นประธาน เพื่อดึงฐานเสียงจากคนกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม ฮุน เซน เป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้งมาโดยตลอด ในปี 2018 ก็สั่งยุบพรรคฝ่ายค้าน ขณะที่ปี 2023 ก็ไม่มีพรรคคู่แข่ง เนื่องจากสั่งห้ามพรรคนั้นลงเลือกตั้ง

 

ทรงฤทธิ์ตั้งข้อสังเกตว่า หากฮุน เซน จากไปวันที่เขายังไม่สามารถสร้างฐานรองรับให้กับวงศ์ตระกูลฮุนรุ่นลูกหลานได้ นั่นอาจเป็นจุดที่เสี่ยงที่สุด และมีความเป็นไปได้สูงที่จะถูกล้มล้าง และผู้ที่จะล้มล้างได้ โดยได้รับเสียงสนับสนุนจากมวลชนเยอะที่สุด ไม่มีใครเกิน ‘สม รังสี’ อย่างแน่นอน

 

อนาคตการเมืองกัมพูชา

 

จากการกระชับอำนาจของตระกูลฮุน รวมถึงระบบเครือข่ายอุปถัมภ์และทุนนิยมพวกพ้อง (Crony Capitalism) ในกัมพูชาขณะนี้ สุภลักษณ์เชื่อว่า ตราบใดที่พวกเขายังสามารถแบ่งปันและเฉลี่ยผลประโยชน์ได้ในหมู่ตระกูลต่างๆ ในหมู่พวกพ้อง และกลุ่มทุนต่างๆ ได้อย่างลงตัว ระบอบนี้ก็น่าจะยังอยู่ได้อีกสักระยะหนึ่ง โอกาสที่จะมีใครขึ้นมาแย่งอำนาจตระกูลฮุนนั้น ‘ยังไม่มีในระยะสั้น’ ส่วนตระกูลอื่นๆ ถ้าแข็งแกร่งขึ้นมาก็ยังต้องอยู่ภายใต้ร่มธงของตระกูลฮุน และภายใต้กรอบของพรรคประชาชนกัมพูชา

 

ระบอบโครงสร้างนี้จะดำเนินไปแบบนี้อีกสักระยะ จนกว่าทรัพยากรที่มีอยู่จะ ‘ไม่เพียงพอ’ ที่จะแบ่งกัน เช่น เศรษฐกิจกัมพูชาไม่สามารถเติบโตต่อไปได้ ก็อาจจะมีคนบางกลุ่มได้มาก คนบางกลุ่มได้น้อย นำไปสู่การเกิดกระแสความไม่พอใจ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับทักษะและความสามารถของผู้นำประเทศด้วย

 

สุภลักษณ์ยังมองว่า โมเดลที่กัมพูชาอยากจะเป็นคือ ‘สิงคโปร์’ ซึ่งมีความทันสมัยในแง่เศรษฐกิจ มีผู้นำที่ฉลาด และมีระบบการเมืองที่ค่อนข้างรวมศูนย์เบ็ดเสร็จ อีกทั้ง สิงคโปร์มีเพียงไม่กี่ตระกูลที่เป็นอิสระทางการเมืองและเศรษฐกิจ ขณะที่กัมพูชา มีหลากหลายตระกูล โดยตระกูลฮุนมีอำนาจมากที่สุด และร่วมมือกับตระกูลอื่นๆ ทำให้กัมพูชาต้องจัดการระบบความสัมพันธ์กับตระกูลต่างๆ ที่มีความซับซ้อนมากกว่า

 

อีกทั้งโครงสร้างสไตล์ของการเมืองไทยและกัมพูชาไม่ได้มีความแตกต่างกันในสายตาของสุภลักษณ์ เขามองว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในกัมพูชาคือสิ่งที่เป็นอยู่ในประเทศไทย เช่น การยุบพรรค การกำจัดคู่แข่ง และการพยายามสืบทอดอำนาจทางสายตระกูล เพียงแต่ของไทยทำได้ยากลำบากและไม่ราบรื่น เพราะเศรษฐกิจของไทยค่อนข้างซับซ้อนกว่าของกัมพูชา

 

ส่วนอนาคตของการเมืองกัมพูชา เขาระบุว่า ต้องอนุญาตให้คนรุ่นใหม่ คนรุ่นลูกที่มีอำนาจอยู่ในปัจจุบัน ออกจากเงาของคนรุ่นพ่อให้ได้ เพื่อที่จะนำประเทศไปในแนวทางที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาประเทศให้ดีกว่านี้ ซึ่งสุภลักษณ์เชื่อว่า นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีของกัมพูชาหลายตำแหน่งในปัจจุบันอยากจะทำเช่นนั้น แต่จะทำได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับบริบทแวดล้อม ตอนนี้อำนาจของฮุน เซน กลับมารวมศูนย์และใช้สไตล์แบบเดิม ทำให้กัมพูชารู้สึกว่ากลับไปสู่ยุคที่ฮุน เซน กุมอำนาจอยู่เต็มที่ หากถึงเวลาที่ฮุน เซน หรือบรรดาคนรุ่นพ่อต้องปล่อยมือ เช่น เสียชีวิต อาจทำให้ลูกๆ ของพวกเขามีความยากลำบากเช่นกัน

 

ภาพ: Getty Images / Shutterstock

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising