ถึงวันนี้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชายังไม่คลี่คลายลง แม้รัฐบาลทั้งสองฝ่ายจะเจรจาข้อตกลงหยุดยิงไปตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา แต่เหตุปะทะบริเวณแนวชายแดนในพื้นที่ภาคตะวันออกของไทยยังไม่มีวี่แววจะจบลง
ส่งผลให้แรงงานชาวกัมพูชาจำนวนมากตัดสินใจเร่งเดินทางกลับประเทศ ท่ามกลางความกังวลด้านความปลอดภัยและกระแสข่าวในโซเชียลมีเดียที่ทำให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่แรงงานต่างชาติ
เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่ยังต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติเป็นฟันเฟืองสำคัญในภาคการผลิต โดยเฉพาะภาคเกษตร ประมง ก่อสร้าง และโรงงานผลิตสินค้าในหลายพื้นที่
แรงงานกัมพูชาแห่กลับประเทศ หวั่นกระทบเศรษฐกิจไทย
ดร. ธนิต โสรัตน์ รองประธานองค์การนายจ้างผู้ประกอบการการค้าและอุตสาหกรรมไทย กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ปัจจุบันไทยมีแรงงานต่างชาติรวมๆ ราว 3.8 ล้านคน โดยแรงงานกัมพูชาในระบบมีอยู่กว่า 5 แสนคน หรือประมาณ 36% ยังไม่รวมกับกลุ่มที่อยู่นอกระบบอีก 3 แสนคน ซึ่งสัดส่วนกัมพูชารองจากเมียนมา ที่ยังเป็นแรงงานอันดับหนึ่งคิดเป็น 80% และลาวอยู่อันดับสุดท้าย มีประมาณ 280,000 คน
ท่ามกลางสถานการณ์ชายแดนตึงเครียดจากเหตุปะทะ กัมพูชาส่งสัญญาณผ่านโซเชียล บอกกล่าวญาติพี่น้องให้เร่งกลับบ้าน หวั่นเกิดอันตราย แม้หลายคนจะกลับไปแล้ว แต่มีจำนวนไม่น้อยที่อยากหวนคืนกลับมาทำงานที่ประเทศไทย เพราะที่กัมพูชาไม่มีงานทำและไม่มีรายได้
ทั้งนี้ แรงงานกัมพูชาที่เข้ามากฎหมายจำนวนมากยังเลือกอยู่ไทย เพราะได้รับค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 – 400 บาท รวมต่อเดือนอาจแตะหลักหมื่น
สิ่งนี้แตกต่างจากการทำงานในกัมพูชาที่เฉลี่ยอาจจะได้เพียง 7,000 บาทต่อเดือนเท่านั้น ที่สำคัญในไทยยังมีสิทธิประกันสังคม รักษาพยาบาลและบุตรสามารถเข้าเรียนในไทยได้ ซึ่งเป็นแรงจูงใจสำคัญ
แรงงานกัมพูชาที่กลับไป ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ทำงานในภาคเกษตร
ดร. ธนิต ฉายภาพต่อไปว่า แรงงานที่ทยอยกลับผ่านด่านชายแดน จังหวัดจันทบุรีและตราด ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ทำงานในภาคเกษตร เช่น สวนทุเรียน สวนมังคุด และแรงงานประมง ซึ่งเข้าใจว่าเป็นกลุ่มแรงงานที่อยู่นอกระบบ ต่างจากแรงงานถูกกฎหมายที่ยังคงอยู่ในภาคอุตสาหกรรม เช่น โรงงานผลิตรองเท้า หรือโรงงานแปรรูปอาหาร ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไทยยังต้องการสูง เพราะเป็นงานที่คนไทยไม่ถนัดหรือไม่เลือกทำ
25 มิถุนายน 2025 , จังหวัดสระแก้ว , ประชาชนชาวกัมพูชาจำนวนมากมารอเดินทางข้ามแดนกลับประเทศ บริเวณจุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อำเภออรัญประเทศ , ช่างภาพ : ฐานิส สุดโต / THE STANDARD
“จริงๆ แล้วแรงงานกัมพูชาทำงานดี โดยเฉพาะในโรงงานประกอบรองเท้า แต่ไม่ถนัดงานบริการตามร้านอาหาร ซึ่งมักเป็นงานของชาวไทยหรือชาวเมียนมามากกว่า” ดร. ธนิต ย้ำ
แม้กระแสข่าวจะทำให้บางโรงงานเริ่มกังวล แต่โดยท่าที่พูดคุยกันกับหลายภาคส่วนยังไม่มีผลกระทบชัดเจน โรงงานหลายแห่งยังคงยืนยันว่า ‘ไทยปลอดภัย’ ส่วนประชาชนไทยก็เข้าใจดีว่า ต้นเหตุความตึงเครียดเกิดจากการเมือง ไม่ใช่ประชาชน ทุกคนแยกแยะกันได้
แต่ถึงอย่างไร ถ้าหากสถานการณ์ยืดเยื้อ ไทยจะขาดแรงงานที่มีทักษะ เพราะแต่ละตำแหน่งงานไม่สามารถหาคนมาแทนกันได้ง่ายๆ โดยเฉพาะในภาคก่อสร้าง เกษตร ประมง และปศุสัตว์ ซึ่งมีแรงงานกัมพูชาทำงานอยู่กว่า 100,000 คน
ภาพ : TANG CHHIN Sothy / AFP
แนะรัฐบาลตั้งกองทุนหนุนเทคโนโลยี ยกระดับอุตสาหกรรมไทย
ในโอกาสนี้ ดร. ธนิต ได้ฝากข้อเสนอแนะถึงรัฐบาลไทยที่ต่อจากนี้ต้องหันมาให้ความสำคัญในการปรับนโยบายด้านแรงงาน อย่าหละหลวมในการคัดกรองแรงงานต่างชาติ พร้อมทั้งเร่งสนับสนุนการใช้เครื่องจักรและเทคโนโลยีเพื่อลดการพึ่งพาแรงงานในอนาคต
โดยเฉพาะการยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักรให้ภาคเอกชน โดยไม่ต้องขอ BOI เหมือนกับในหลายๆ ประเทศ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและลดการพึ่งแรงงานต่างชาติในระยะยาว พร้อมเสนอให้ตั้งกองทุนสนับสนุนเทคโนโลยี เพื่อผลักดันธุรกิจไทยให้หลุดจากวังวนการผลิตสินค้าที่อิงกับแรงงานราคาถูก
ขณะเดียวกัน ประเด็นการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาท ทั่ว กทม. และบางจังหวัดในต่างจังหวัด โดยมีผล 1 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ได้สร้างความกังวลให้ผู้ประกอบการหลายราย โดยเฉพาะในภาคโรงแรม ที่มองว่าเป็นนโยบาย ทิ้งทวนที่ออกมาโดยไม่ผ่านกระบวนการอนุกรรมการค่าจ้างตามปกติ
“ถ้ารอบหน้ารัฐยังใช้วิธีสั่งการจากบนลงล่าง ก็คงไม่ต้องมีกรรมการค่าจ้างอีกต่อไป เพราะไม่มีการอิงสูตรเงินเฟ้อหรือภาวะเศรษฐกิจเลย” ดร. ธนิต ย้ำ
ร้านอาหาร-ธุรกิจเอกชน ยืนยัน ไลน์ผลิตยังไม่สะเทือน
ฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ส่วนใหญ่แรงงานกัมพูชาจะนิยมทำงานในร้านอาหารตามแหล่งท่องเที่ยว เช่น เกาะ ต่างๆ แต่จากที่ได้พูดคุยกับทางผู้ประกอบการร้านอาหารหลายรายบอกยังไม่ได้รับผลกระทบ
อาจด้วยช่วงนี้เป็นช่วงโลว์ซีซั่นของฤดูกาลท่องเที่ยวพอดี และถือเป็นโอกาสในการลดคนด้วย เพราะที่ผ่านมายอดขายไม่ดี แต่ต้องแบกต้นทุนจ้างงานหนัก ส่วนร้านอาหารที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ส่วนใหญ่จะใช้แรงงานชาวเมียนมา เพราะแรงงานกัมพูชาจะไม่นิยมทำงานบริการ ส่วนใหญ่จะไปทำก่อสร้างมากกว่า
ด้านแหล่งข่าวจากแวดวงอุตสาหกรรมผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ แสดงความเห็นว่า จริงๆ แล้วแรงงานกัมพูชาที่ทำงานอยู่ในโรงงานผลิตบางแห่ง ได้ขอกลับบ้านมาตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุปะทะกันที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ส่วนใหญ่ต่างให้เหตุผลว่าญาติพี่น้อง อยากให้กลับไป เพราะกลัวว่าอยู่ไทยจะไม่ปลอดภัย แต่ก็มีแรงงานบางส่วนที่ยังยืนยันว่าจะอยู่ต่อ ซึ่งบริษัทหลายแห่งได้พยายามดูแลและให้ความเชื่อมั่นถึงความปลอดภัย ต่างๆ
ทั้งนี้ แม้แรงงานกัมพูชาจะออกไปจำนวนมาก แต่ยังไม่ถึงขั้นกระทบไลน์ผลิต เพราะยังมีพนักงานทั้งเมียนมาและคนไทยที่พร้อมทำงานจำนวนมาก
แม้สถานการณ์เฉพาะหน้าในหลายอุตสาหกรรมจะยังดูไม่น่าเป็นห่วงนัก และเสียงจากผู้ประกอบการยังคงยืนยันว่ารับมือได้ แต่ในภาพใหญ่แล้ว ภาพแรงงานกัมพูชาที่ทยอยเดินทางกลับประเทศกลับเป็นดั่งสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่า โครงสร้างเศรษฐกิจไทยยังคงผูกติดอยู่กับความเปราะบางของแรงงานข้ามชาติ
วิกฤตการณ์ชายแดนครั้งนี้อาจเป็นเพียงอาการเริ่มต้นของปัญหาที่ใหญ่กว่า หากสถานการณ์ยืดเยื้อหรือเกิดเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันในอนาคต การขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะในภาคการผลิตสำคัญอาจไม่ใช่แค่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป
ดังนั้น โจทย์ใหญ่ที่ท้าทายรัฐบาลไทยในวันนี้ อาจไม่ใช่แค่การประคับประคองความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่คือการตัดสินใจครั้งสำคัญว่าจะปฏิรูปโครงสร้างอุตสาหกรรม และลดการพึ่งพิงแรงงานต่างชาติด้วยเทคโนโลยีตามข้อเสนอของผู้ประกอบการอย่างจริงจัง หรือจะปล่อยให้ฟันเฟืองเศรษฐกิจไทยยังคงแขวนอยู่บนเส้นด้ายแห่งความไม่แน่นอนต่อไป
ภาพปก: 25 มิถุนายน 2025 , จังหวัดสระแก้ว , ประชาชนชาวกัมพูชาจำนวนมากมารอเดินทางข้ามแดนกลับประเทศ บริเวณจุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อำเภออรัญประเทศ , ช่างภาพ : ฐานิส สุดโต / THE STANDARD