อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีป้ายแดง แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 7 กันยายนที่ผ่านมา หลังพิธีรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย โดยระบุว่า ปัญหาความมั่นคง โดยเฉพาะกรณีพิพาทระหว่างไทย และกัมพูชา เป็นหนึ่งใน 4 ปัญหาที่รัฐบาลใหม่จะดำเนินมาตรการแก้ไขอย่างเร่งด่วน พร้อมเน้นย้ำว่า จะยึดหลักผลประโยชน์ของไทยเป็นสำคัญ เพื่อให้ประชาชนดำเนินชีวิตด้วยความเป็นปกติสุข และลดความสูญเสียของประชาชนทั้งสองประเทศ
หรือนี่คือ ช่วงเวลาสำคัญในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา
สัญญาณ ‘หาทางลง’ จากกัมพูชา?
ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้โพสต์ภาพจดหมายแสดงความยินดีกับ อนุทิน ชาญวีรกูล ในโอกาสที่ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนล่าสุดของไทย พร้อมระบุว่า ตนเองต้องการทำงานร่วมกับอนุทินอย่างใกล้ชิด เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทยให้ ‘กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง’
ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ และที่ปรึกษาสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ที่ทำงานใกล้ชิดกับวงการสื่อของอาเซียนมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะกัมพูชาและสปป.ลาว มองว่า การส่งสารแสดงความยินดีจากผู้นำประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อไทยมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่นั้นถือเป็น ‘เรื่องปกติ’ เป็นวิธีการทางการทูตปกติที่ประเทศต่างๆ มักจะปฏิบัติต่อกัน อาจไม่ได้บ่งชี้ถึงสัญญาณการปรับท่าทีเป็นพิเศษ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ช่วงเวลานี้ถือเป็น ‘โอกาส’ ที่ทั้งสองประเทศจะฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างกัน
ชวรงค์คาดการณ์ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชาน่าจะมี ‘แนวโน้มความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น’ เนื่องจาก ผู้นำรัฐบาลใหม่ของไทยไม่ได้มาจากพรรคเพื่อไทย โดยผู้นำกัมพูชามักมองว่า รัฐบาลที่มาจากพรรคการเมืองนี้อยู่ภายใต้การกำกับของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ซึ่งมีปัญหากับฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ดังนั้น การเปลี่ยนผู้นำรัฐบาลใหม่ครั้งนี้ น่าจะทำให้ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ‘คุยกันง่ายขึ้น’ และมีแนวโน้มที่จะคุยกันได้ใน ‘เชิงสันติวิธี’ มากยิ่งขึ้น
ความสัมพันธ์ที่ดีจะ ‘เป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย’
ชวรงค์ระบุว่า แนวนโยบายต่อประเด็นพิพาทไทย-กัมพูชาควรเป็นไปในลักษณะที่เร่งแก้ไขความขัดแย้ง เนื่องจากความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นจะ ‘เป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย’ โดยเฉพาะการบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจและแรงงาน ในช่วงที่การค้าชายแดนหยุดชะงัก แรงงานกัมพูชาในภาคอุตสาหกรรมการก่อสร้างและภาคการเกษตรของไทยเดินทางกลับประเทศ ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนแรงงาน ทั้งยังจะช่วยบรรเทาปัญหาการว่างงานและมีรายได้น้อยในกัมพูชาอีกด้วย
ชวรงค์ยังเชื่อว่า นายกฯ อนุทินซึ่งเป็นนักธุรกิจคงจะพยายามแก้ไขปัญหา เพื่อให้ทั้งสองประเทศสามารถกลับมาค้าขายและร่วมมือกันได้อีกครั้ง อีกทั้งยังได้ผู้มีความรู้ความสามารถอย่าง สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว มานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่ ซึ่งมีประสบการณ์ดีลกับกัมพูชามาดำเนินงาน จึงคาดว่า สถานการณ์โดยรวม ‘จะดีขึ้น’ แต่ก็ยังต้องรอดูกันต่อไป
ส่วนกระแสที่เรียกร้องให้มีการยกเลิก MOU 2543 และ MOU 2544 ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการแก้ไขปัญหาทวิภาคีกับกัมพูชานั้น ชวรงค์มองว่า เรื่องนี้ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและใช้เวลา อาจไม่สามารถยกเลิกได้ภายใน 4 เดือน ยังคงต้องมีการพูดคุยหารือถึงข้อดี-ข้อเสียอีกมาก เรื่อง MOU 2543 และ MOU 2544 จึงไม่น่าจะใช่ ‘ประเด็นหลัก’ ที่จะถูกหยิบยกขึ้นมาเจรจากับกัมพูชาในช่วงเวลานี้
ความท้าทายที่รออยู่
รศ. ดร.ปิติ ศรีแสงนาม อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เชื่อว่า แม้ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชามีแนวโน้มที่อาจจะปรับตัวดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ประเด็นพิพาทระหว่างทั้งสองประเทศ ในสมัยรัฐบาลอนุทินนั้น ‘ยังไม่สามารถจบลงได้โดยง่าย’ ด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น
1) ความร้าวฉานลงลึกในระดับประชาชน: เดิมทีความขัดแย้งถูกจำกัดวงอยู่แค่ภายในตระกูลการเมืองทั้งสองครอบครัวเท่านั้น แต่ภายหลังการสู้รบระลอกล่าสุด ตอนนี้ความร้าวฉานได้ลงลึกไปถึงระดับประชาชนต่อประชาชนแล้ว เนื่องจากทั้งสองประเทศไม่สามารถแยกจากกันได้ อาจารย์ปิติมองว่า การฟื้นฟูความไว้เนื้อเชื่อใจและความใกล้ชิดในภาคประชาชนที่ร้าวลึกไปแล้วนั้น ‘ทำได้ยากและต้องใช้เวลามาก’ ทั้งยังต้องใช้การลงทุนมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้าง Soft Power เช่น การให้ทุนการศึกษา, การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ แต่คำถามสำคัญที่ตามมาคือ เม็ดเงินเหล่านั้นที่จะนำไปใช้ลงทุน อาจเป็นเงินภาษีของประชาชนคนไทย และต้องพิจารณาว่าประชาชนไทยจะยอมรับได้หรือไม่ นี่คือโจทย์ใหญ่ประเด็นแรก
ชวรงค์กล่าวเสริมว่า สื่อสังคมออนไลน์ในปัจจุบัน มีส่วนทำให้ความสัมพันธ์ร้าวลึกยิ่งกว่าเดิม จนเกิดเป็นสงครามข่าวสาร โดยโซเชียลมีเดียมีทั้งข่าวจริงและข่าวปลอม การที่สื่อต่างๆ นำเรื่องราวจากโซเชียลมีเดียมานำเสนอและตอบโต้กันไปมา ทำให้ความขัดแย้งขยายวงกว้างและมีความเป็นชาตินิยมสูง
2) ต้นตอของปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไข: อาจารย์ปิติอธิบายว่า หนึ่งในต้นตอของปัญหาคือ ความไม่ลงตัวในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนในพื้นที่ทางทะเล ซึ่งคาดว่ามีทรัพยากรพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลจำนวนมาก ทำให้กลไกอย่าง MOU 2544 ยังไม่ได้รับการจัดการ โดยรัฐบาลต้องตัดสินใจว่าจะยังคงใช้กลไกที่พิสูจน์แล้วว่า ‘ใช้ไม่ได้ผล’ มาตลอด 20-30 ปีที่ผ่านมาหรือไม่ ท้ายที่สุดก็ต้องรอดูว่า ประเด็นที่เป็นต้นตอของปัญหาทั้งบนบก (MOU 2543) และในทะเล (MOU 2544) จะถูกขจัดออกไปหรือไม่ นี่คือโจทย์ใหญ่ประเด็นที่สอง
ส่วนประเด็นที่มีกระแสเรียกร้องให้ยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับกับทางกัมพูชานั้น อาจารย์ปิติระบุว่า ในที่สุดรัฐบาลก็คงต้องประเมินตามความเป็นจริงว่า การมีอยู่ของ MOU 2543 และ MOU 2544 นั้นให้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์มากกว่ากัน อีกทั้งยังแนะนำว่า ไม่ควรหวาดกลัวศาลโลกมากเกินไป แม้ในอดีตไทยจะเคยผิดหวังก็ตาม นอกจากศาลโลกแล้ว ยังมีกระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศอื่นๆ ให้เลือกใช้ เช่น ศาลอนุญาโตตุลาการ (PCA) เป็นต้น
สิ่งสำคัญคือ ต้องอธิบายให้คนในประเทศเข้าใจอย่างชัดเจนถึงข้อดีและข้อเสียของ MOU ด้วยวิธีการทางวิชาการและการสื่อสารเชิงกลยุทธ์ เพื่อไม่ให้เกิดการตีความผิดๆ หรือถูกบิดเบือน ทั้งยังควรมี ข้อเสนอแนะทางเลือกที่ดีกว่า หากจะยกเลิก MOU เพื่อให้ไทยยังคงรักษาผลประโยชน์ของชาติเอาไว้ได้
3) ความท้าทายเรื่องศูนย์สแกมเมอร์: อาจารย์ปิติเล่าว่า ภายในการประชุม Global Anti-Scam Alliance (GASA) ครั้งล่าสุดซึ่งจัดขึ้นที่สิงคโปร์ เมื่อวันที่ 2-3 กันยายนที่ผ่านมา กัมพูชาถูกกล่าวถึงตลอดเวลาในฐานะ ‘ศูนย์กลางของสแกมเมอร์’ พร้อมทั้งมีความกังวลว่า กัมพูชาจะยกระดับจากศูนย์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ให้กลายเป็น ‘องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ’ แบบครบวงจร (One-Stop Service) ตั้งแต่การออกแบบเว็บพนัน การฟอกเงิน การค้ามนุษย์ ไปจนถึงการโจมตีทางไซเบอร์ระดับประเทศ ซึ่งเป็นปัญหาร้ายแรงและท้าทายอย่างยิ่ง เนื่องจากผู้ได้รับผลประโยชน์เกี่ยวโยงกับครอบครัวการเมืองระดับชั้นนำของกัมพูชา อีกทั้งยังอาจได้รับการสนับสนุนจาก ‘กลุ่มคนสีเทา’ บางกลุ่มภายในประเทศไทย นี่คือโจทย์ใหญ่อีกหนึ่งประเด็นที่รออยู่
ทั้งอาจารย์ปิติ และชวรงค์ ต่างเห็นสอดคล้องกันในมิตินี้ว่า ประเด็นเรื่องศูนย์สแกมเมอร์ยังคงมีความท้าทายอย่างมาก และอาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเดินหน้าได้ยากยิ่งขึ้น หลังอนุทินเผยว่า ปัญหาเรื่องภัยสังคม โดยเฉพาะการปราบปรามปัญหาเรื่องยาเสพติด การค้ามนุษย์ สแกมเมอร์ การพนัน และการพนันออนไลน์ จะเป็นอีกหนึ่งใน 4 ประเด็นเร่งด่วนของรัฐบาลภูมิใจไทยในช่วง 4 เดือนนับจากนี้
อย่างไรก็ตาม ทั้งอาจารย์ปิติ และชวรงค์ระบุว่า ความขัดแย้งนี้ ‘จะไม่ปรากฏออกมาอย่างโจ่งแจ้ง’ เพราะกัมพูชาไม่สามารถบอกกับประชาคมโลกได้ว่า ตนมีส่วนพัวพันกับเครือข่ายสแกมเมอร์เหล่านี้ โดยหน้าฉาก ทางการกัมพูชาจะยังคงปฏิเสธและแสดงท่าทีร่วมมือต่อต้านการมีอยู่ของเครือข่ายสแกมเมอร์เหล่านี้ เหมือนกับกรณีทุ่นระเบิด แต่ในทางปฏิบัติก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งการกวาดล้างหรือแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังนั้น มักไม่ได้เกิดขึ้นจริง โดยประเด็นนี้ยังคงเป็น ‘เรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง’
ทั้งไทยและกัมพูชาต่างยังคงต้องเป็น ‘เพื่อนบ้าน’ ที่มีพรมแดนติดกันต่อไป ไม่สามารถหนีหรือแยกย้ายกันไปไหนได้ การฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างกันน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับทุกฝ่าย เรื่องนี้ต้องอาศัยเวลาและความร่วมมือของทุกคน