กุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 มีมติอนุมัติเป้าหมายนโยบายการเงินปี 2564 ซึ่งเป็นข้อตกลงร่วมระหว่างคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยกำหนดอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วง 1-3% เป็นเป้าหมายของนโยบายการเงินในระยะปานกลางและปี 2564
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยในฐานะประธาน กนง. ได้ลงนามในข้อตกลงร่วมกันเพื่อกำหนดเป้าหมายนโยบายการเงินปี 2564 ดังนี้
1. ดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น
โดยบริบทของเศรษฐกิจโลกและไทยที่เปลี่ยนแปลงไปหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้อัตราเงินเฟ้อไทยระยะข้างหน้าเผชิญกับความไม่แน่นอนสูงทั้งจากปัจจัยด้านอุปสงค์และอุปทาน ได้แก่
1.1 เศรษฐกิจโลกและไทยที่มีแนวโน้มฟื้นตัวช้าตามการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เผชิญข้อจำกัดมากขึ้นจากมาตรการควบคุมการระบาด
1.2 ความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกประเทศ โดยเฉพาะความผันผวนของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกและการทวนกระแสโลกาภิวัตน์ (Deglobalization) ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากความขัดแย้งทางการค้าและความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่อาจส่งผลต่อห่วงโซ่การผลิต ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น
1.3 การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง อาทิ แนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและการนำเครื่องจักรมาใช้ทดแทนแรงงานในกระบวนการผลิต (Automation) หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังเป็นแรงกดดันเงินเฟ้อให้ต่ำลงอย่างต่อเนื่อง
ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ได้สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรงและยังมีความไม่แน่นอนสูง กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจะได้มีความร่วมมือในการดำเนินนโยบายการคลังและนโยบายการเงินให้มีความสอดประสานกันมากยิ่งขึ้น อันจะนำไปสู่การฟื้นตัวและเติบโตของเศรษฐกิจไทยอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว
ทั้งนี้ การดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่นเอื้อให้ กนง. สามารถพิจารณานโยบายการเงินได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจการเงินของไทยที่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนสูงในระยะข้างหน้า
โดยในปัจจุบัน กนง. ยังคงให้น้ำหนักกับการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นสำคัญ เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพด้านราคาในระยะปานกลางและการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการช่วยรักษาเสถียรภาพด้านราคาและการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว
ในการตัดสินนโยบายการเงินแต่ละครั้ง กนง. จะพิจารณาความสำคัญของเป้าหมายด้านต่างๆ อย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียของการดำเนินนโยบายการเงินในแต่ละทางเลือก (Policy Trade-off) ตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา รวมถึงพร้อมใช้เครื่องมือในการดำเนินนโยบายการเงินต่างๆ ที่มีอยู่ในลักษณะผสมผสานเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
2. เป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลางและเป้าหมายสำหรับปี 2564
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและ กนง. มีข้อตกลงร่วมกันโดยกำหนดให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วง 1-3% เป็นเป้าหมายของนโยบายการเงินด้านเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลางและเป็นเป้าหมายสำหรับปี 2564 โดยอัตราเงินเฟ้อในช่วงดังกล่าวเป็นระดับที่เหมาะสมกับพลวัตเงินเฟ้อที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะจากการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีและการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และเอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับศักยภาพของระบบเศรษฐกิจไทย
นอกจากนี้เป้าหมายแบบช่วงช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายการเงินภายใต้โลกที่ผันผวนและมีความไม่แน่นอนสูงหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ประกอบกับสามารถดูแลเป้าหมายด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพระบบการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้การกำหนดเป้าหมายระยะปานกลางเพื่อให้สอดคล้องกับประสิทธิผลการดำเนินนโยบายการเงินที่ต้องใช้เวลาในการส่งผ่านผลไปยังภาคเศรษฐกิจจริง
3. การติดตามความเคลื่อนไหวของเป้าหมายของนโยบายการเงิน
กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจะหารือร่วมกันเป็นประจำเมื่อมีเหตุจำเป็นอื่นตามที่ทั้งสองหน่วยงานเห็นสมควร เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายของนโยบายการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อให้การดำเนินนโยบายการคลังและนโยบายการเงินเป็นไปในทิศทางที่สอดประสานกัน
กนง. จะจัดทำรายงานผลการดำเนินนโยบายการเงินทุกครึ่งปี ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมา แนวทางการดำเนินนโยบายการเงินในระยะถัดไป รวมไปถึงการคาดการณ์สภาวะเศรษฐกิจในอนาคต เพื่อแจ้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทราบ รวมถึงจะเผยแพร่รายงานนโยบายการเงินทุกไตรมาสเป็นการทั่วไป อันจะช่วยเพิ่มการรับรู้ของสาธารณชนถึงแนวทางการตัดสินนโยบายการเงินของ กนง. ซึ่งจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและประสิทธิภาพของการดำเนินนโยบายการเงินในอนาคต
4. การเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปออกนอกกรอบเป้าหมาย
กนง. ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในระยะต่อไปจะผันผวนจากความไม่แน่นอนของราคาพลังงานและราคาอาหารสด ความเสี่ยงจากต่างประเทศ โดยเฉพาะนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐอเมริกาและมาตรการตอบโต้ของประเทศคู่ค้าต่างๆ
ดังนั้นหากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมา หรือประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้าเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมาย กนง. จะมีจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยจะชี้แจงถึงสาเหตุของการเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมายดังกล่าว แนวทางการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมาและในระยะต่อไปเพื่อนำอัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับเข้าสู่เป้าหมายในระยะเวลาที่เหมาะสม และระยะเวลาที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่เป้าหมาย
นอกจากนี้ กนง. จะมีจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทุก 6 เดือน หากอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยตามแนวทางข้างต้นยังคงอยู่นอกกรอบเป้าหมาย และจะรายงานความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาเป็นระยะตามสมควร
5. การแก้ไขเป้าหมายของนโยบายการเงิน
ในกรณีที่มีเหตุอันสมควรหรือจำเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและ กนง. อาจตกลงร่วมกันเพื่อแก้ไขเป้าหมายของนโยบายการเงินได้ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์