×

ครม.เศรษฐกิจ ไฟเขียว 3 แพ็กเกจบีโอไอ เร่งปลดล็อกลงทุนเร็วขึ้น 20-50% พัฒนาทักษะแรงงาน หนุน SME ยกระดับการผลิต

24.11.2025
  • LOADING...
ครม.เศรษฐกิจ ไฟเขียว 3 แพ็กเกจ บีโอไอ เร่งปลดล็อกลงทุนเร็วขึ้น 20-50% พัฒนาทักษะแรงงาน หนุน SME ยกระดับการผลิต

ครม.เศรษฐกิจ เคาะ 3 แพ็กเกจบีโอไอ ปลดล็อกลงทุนผ่าน Thailand FastPass พัฒนาทักษะแรงงานสู่อุตสาหกรรมยุคใหม่ และแพ็กเกจหนุน SME เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ไม่เพียงเท่านั้น ยังปลดล็อก ร้านค้าคนละครึ่ง ขายสินค้าให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้ โฆษกรัฐบาลชี้กำลังจัดสรรงบประมาณ ‘คนละครึ่ง พลัส’ เฟส 2 ควบคู่จัดสรรงบประมาณช่วยภัยพิบัติน้ำท่วม

 

วันนี้ (24 พฤศจิกายน) ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เผยผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ ครั้งที่ 5/2568 ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบ มาตรการเร่งรัดการลงทุน และส่งเสริมการลงทุนเพื่ออนาคต ทั้งสิ้น 3 มาตรการ ได้แก่ 1) มาตรการ Thailand FastPass 2) มาตรการสร้างบุคลากรทักษะสูงสำหรับอุตสาหกรรมยุคใหม่ (Upskill & Reskill) จำนวน 1 แสนคน และ 3) มาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

 

โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จะรับหน้าที่ขับเคลื่อนและดำเนินการทั้ง 3 มาตรการด้วยกัน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

 

1. มาตรการ Thailand FastPass ซึ่งมีขึ้นเพื่อเร่งรัดให้เกิดการลงทุนโดยเร็ว โดยจะดำเนินการแก้ไขปัญหา/อุปสรรค ทั้ง 3 ด้านไม่ว่าจะเป็นด้านไฟฟ้า ด้านพื้นที่ลงทุน ด้านการอนุมัติ/อนุญาต ที่ขัดขวางไม่ให้เกิดการลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสำคัญที่มีการลงทุนสูง เช่น ดาต้าเซ็นเตอร์ การพัฒนานิคมอุตสาหกรรม การผลิตพลังงานสะอาด และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์

 

ดร.เอกนิติ ระบุว่า การจัดทำระบบ Thailand FastPass เป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างมาก โดยจะเป็นกลไกใหม่ที่นำมาใช้เพื่อปลดล็อกอุปสรรคของโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ให้สามารถเดินหน้าลงทุนได้อย่างรวดเร็ว และจะนำไปสู่กระบวนการแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคอย่างถาวร รวมถึงการจัดหาพลังงานสะอาดเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุน

 

โดยมอบหมายให้บีโอไอพิจารณากำหนดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้านครหลวง เป็นต้น และติดตามการจัดทำ SLA ของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อปลดล็อกต่อไป

 

โดยตั้งเป้าให้การพิจารณาอนุมัติ/อนุญาตเร็วขึ้นอย่างน้อย 20–50% เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุน และกระตุ้นให้เกิดการลงทุนจริงอย่างรวดเร็ว พร้อมดำเนินการภายในเดือนธันวาคม 2568

 

2. มาตรการสร้างบุคลากรทักษะสูงสำหรับอุตสาหกรรมยุคใหม่ (Upskill & Reskill) จำนวน 1 แสนคน

 

3. มาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

 

โดยมาตรการที่ 2 และ 3 จะใช้เงินจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ ในวงเงินประมาณ 5,000 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยโดยเร็วและวางรากฐานการเติบโตในระยะต่อไป โดยได้มอบหมายบีโอไอประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ดำเนินการขับเคลื่อน

 

นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า นอกจากกลไก Thailand FastPass แล้ว ในส่วนของการแก้ไขปัญหา/อุปสรรคเพื่อเร่งรัดการลงทุนในระยะสั้น บีโอไอได้คัดเลือกโครงการขนาดใหญ่ที่จะมีผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพื่อนำร่องแก้ไขปัญหาจำนวน 80 โครงการ มูลค่าลงทุนรวม 4.8 แสนล้านบาท

 

โครงการส่วนใหญ่ประสบปัญหาด้านระบบเครือข่ายสายส่งไฟฟ้ามีข้อจำกัดในบางพื้นที่ ปัญหาการจัดหาที่ดินอุตสาหกรรม ปัญหาด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน รวมถึงปัญหาการขอใบอนุมัติ/อนุญาตต่าง ๆ สำหรับการประกอบธุรกิจ โดยที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบแนวทางแก้ไขปัญหาด้านการลงทุน ดังนี้

 

ด้านระบบส่งไฟฟ้าและพลังงานสะอาด เพื่อให้ผู้ลงทุนมีพลังงานไฟฟ้าอย่างเพียงพอ จึงมีมติให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เร่งรัดการออกประกาศหลักเกณฑ์การวางหลักประกันการใช้โครงข่ายระบบไฟฟ้า เพื่อให้เกิดการลงทุนขยายระบบสายส่งไฟฟ้าให้เข้าถึงพื้นที่เป้าหมายตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและการไฟฟ้านครหลวง เร่งออกหนังสือยืนยันการจ่ายพลังงานไฟฟ้าสำหรับกิจการ Data Center ที่เตรียมลงทุน

 

นอกจากนี้ เพื่อให้มีกลไกพลังงานสะอาดในราคาที่แข่งขันได้ เพื่อตอบโจทย์ทิศทางการลงทุนสีเขียวในอนาคต จึงให้สำนักงาน กกพ. เร่งออกประกาศหลักเกณฑ์และอัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียวแบบที่ 2 (UGT2) และโครงการนำร่องซื้อขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนโดยตรง (Direct PPA) ให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2568 นอกจากนี้ ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิต การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวงวางแผนการลงทุนโครงข่ายระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับโครงการลงทุนสำคัญต่อไป

 

ด้านพื้นที่ลงทุน เพื่อจัดเตรียมพื้นที่รองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ให้กรมโยธาธิการและผังเมือง ประสานกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสำนักงาน EEC (กรณีในพื้นที่ EEC) เพื่อพิจารณาทบทวนการวางและปรับปรุงผังเมืองรวมและผังชุมชน กำหนดแนวทางการเพิ่มพื้นที่นิคมฯ รองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมในอนาคต ภายในเดือนมีนาคม 2569 และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จัดทำแนวทางผ่อนผันให้อนุญาตขุดถมดินเพื่อเตรียมพร้อมที่ก่อสร้างไปพลางก่อนระหว่างยื่นความเห็นชอบรายงาน EIA ให้แล้วเสร็จภายในเดือนมกราคม 2569 ทั้งนี้ ให้บีโอไอประสานกับคณะกรรมการขับเคลื่อนเร่งรัดและติดตามนโยบายสำคัญของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคด้านกฎหมายต่อไป

 

ด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการบุคลากรต่างชาติทักษะสูงที่จะเข้ามาทำงานในกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน จึงให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและกรมการจัดหางาน เพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ให้เพียงพอต่อปริมาณงาน เพื่อลดระยะเวลาการรอคอยวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน และให้กรมการจัดหางาน พิจารณายกเว้นการใช้ระบบ e-Work Permit ซึ่งยังพัฒนาไม่เสถียร สำหรับการบริการที่ศูนย์วันสต็อป ภายในเดือนธันวาคม 2568 และให้ปรับปรุงระบบ e-Work Permit สำหรับศูนย์วันสต็อป ให้มีประสิทธิภาพและทดสอบระบบจนเสถียร ให้แล้วเสร็จภายในเดือนมกราคม 2569 พร้อมเชื่อมโยงระบบ Single Window ของบีโอไอกับระบบ e-Visa ของกรมการกงสุลให้แล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2569 โดยให้ทุกหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคทั้ง 3 ด้าน รายงานผลการดำเนินการต่อบีโอไอต่อไป

 

ด้านการขอใบอนุมัติ/อนุญาตต่าง ๆ สำหรับการประกอบธุรกิจ บีโอไอจะเร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามการออกใบอนุญาตเป็นรายกรณี โดยเฉพาะใบอนุญาตที่มีผลต่อการเริ่มต้นธุรกิจ เพื่อให้โครงการต่างๆ สามารถเดินหน้าลงทุนตามแผนโดยเร็ว และจะนำกลไก Thailand FastPass มาใช้เร่งรัดในระยะต่อไป

 

ทั้งนี้ โครงการขนาดใหญ่ที่เป็นเป้าหมายของบีโอไอในการเร่งรัดให้เกิดการลงทุนจำนวน 80 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4.8 แสนล้านบาท ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ 1) โครงการขนาดใหญ่ที่ได้รับอนุมัติในช่วงปี 2566–2567 แต่ยังติดปัญหาไม่สามารถเริ่มดำเนินการได้ 65 โครงการ มูลค่าลงทุน 271,738 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาบีโอไอได้เร่งประสานงานเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะรายให้กับนักลงทุนในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ทำให้มีโครงการบางส่วนสามารถเริ่มลงทุนจริงหรือมีแผนเริ่มลงทุนที่ชัดเจนแล้ว 40 โครงการ มูลค่า 148,543 ล้านบาท

 

โดยยังเหลือโครงการที่ติดปัญหา/อุปสรรคสำคัญต่างๆ เช่น ด้านระบบส่งไฟฟ้าและพลังงานสะอาด ด้านการจัดหาพื้นที่ และใบอนุมัติ/อนุญาตต่างๆ จำนวน 25 โครงการ มูลค่า 123,195 ล้านบาท และ 2) โครงการขนาดใหญ่ที่เพิ่งได้รับอนุมัติในปี 2568 ที่ประสบปัญหาคล้ายกันและจะนำมาแก้ไขในคราวเดียวกันอีก 15 โครงการ มูลค่า 216,742 ล้านบาท โดยบีโอไอจะติดตามและเร่งรัดให้โครงการทั้งหมดเดินหน้าได้ เพื่อช่วยกระตุ้นเม็ดเงินลงทุนจริงและการจ้างงานในระบบเศรษฐกิจในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ รวมถึงผลักดันการเติบโตต่อเนื่องในปี 2569

 

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับทราบ มาตรการสร้างบุคลากรทักษะสูงสำหรับ อุตสาหกรรมยุคใหม่ (Upskill & Reskill) ที่ตั้งเป้าพัฒนาบุคลากรจำนวน 100,000 คน แบ่งออกเป็นนักศึกษาที่เตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน 30,000 คน และแรงงานที่ต้องการยกระดับหรือปรับเปลี่ยนทักษะ (Upskill & Reskill) 70,000 คน

 

โดยการจัดอบรมและยกระดับทักษะแรงงานระดับ ปวส. ขึ้นไป ผ่านรูปแบบการฝึกอบรมทั้ง Bootcamp, การเรียนแบบ Onsite และ Online รวมถึงการฝึกปฏิบัติจริงในสถานประกอบการ โดยต้องยื่นคำขอภายในเดือนมกราคม 2569 และดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือนหลังออกบัตรส่งเสริม และ มาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ที่จะให้เงินสนับสนุน 30–50% ของเงินลงทุนและค่าใช้จ่ายจริง สูงสุด 100 ล้านบาทต่อบริษัท สำหรับการยกระดับประสิทธิภาพธุรกิจด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ การวิจัยและพัฒนา (R&D) และการปรับเปลี่ยนสู่ธุรกิจใหม่หรืออุตสาหกรรมสีเขียว โดยผู้ขอต้องเป็นนิติบุคคลที่มีสัดส่วนผู้ถือหุ้นไทยอย่างน้อย 51% ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้งนี้ ต้องยื่นคำขอภายในเดือนมกราคม 2569 และดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 12 เดือนหลังออกบัตรส่งเสริม

 

“มาตรการ Thailand FastPass และแพ็กเกจใหม่ของบีโอไอ ทั้งเรื่องการยกระดับทักษะบุคลากรไทยให้ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมใหม่ และการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้ปรับตัวเพื่อแข่งขันได้ ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือเร่งรัดการลงทุนในระยะสั้นเท่านั้น แต่เป็นการเริ่มแก้ไขอุปสรรคในเชิงระบบ พร้อมทั้งสร้างระบบนิเวศการลงทุนที่ทันสมัยและตอบโจทย์ทิศทางในอนาคตของภาคอุตสาหกรรม เพื่อวางรากฐานเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างมั่นคง” นฤตม์ กล่าว

 

ปลดล็อก ร้านค้าคนละครึ่ง ขายสินค้าให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้

 

นอกจากนี้ ดร.เอกนิติ ยังเผยอีกว่า ที่ประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจวันนี้ เห็นชอบให้ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ‘คนละครึ่ง พลัส’ สามารถขายสินค้าให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้ เนื่องจากที่ประชุมเห็นว่า ผู้ถือบัตรฯ มีข้อจำกัดด้านจำนวนร้านค้า

 

ดร.เอกนิติย้ำว่า การเปิดทางให้ ร้านค้าในโครงการ ‘คนละครึ่ง พลัส’ ขายสินค้าให้กับผู้ถือบัตรฯ ถือเป็นการแก้ปัญหาและช่วยเหลือผู้ถือบัตรฯ อย่างยั่งยืน โดยจะมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการเชื่อมระบบข้อมูลร้านค้าระหว่างโครงการ ‘คนละครึ่ง พลัส’ และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในขั้นตอนต่อไป

 

ยังไม่เคาะ ‘คนละครึ่ง พลัส’ เฟส 2 เชื่อทันยุบสภา

 

สำหรับความคืบหน้าของ โครงการ ‘คนละครึ่ง พลัส’ เฟส 2 ทางสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาขนาดของโครงการ ตลอดจนแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ ซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน เนื่องจาก รัฐบาลจำเป็นต้องพิจารณางบประมาณควบคู่ไปกับมาตรการเยียวยาภัยพิบัติอุทกภัยที่เกิดขึ้น

 

ทั้งนี้ สิริพงษ์คาดว่าจะสามารถนำเสนอโครงการ ‘คนละครึ่ง พลัส’ เฟส 2 เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ทันก่อนยุบสภา

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising