BYD ยักษ์ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของจีน เตรียมเปิดโรงงานแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่จังหวัดระยอง ประเทศไทย ด้วยมูลค่าการลงทุน 486 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท) โดยมาพร้อมการปรับลดราคา ATTO 3 SUV สูงสุดถึง 340,000 บาท เพื่อกระตุ้นตลาด
การลดราคาครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดรถยนต์ไทย ซึ่งกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและการปฏิเสธสินเชื่อรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม โรงงานแห่งนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อรองรับตลาดในประเทศเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่ของกำลังการผลิต 150,000 คันต่อปี จะถูกส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และยุโรป
การเปิดโรงงานในไทยยังเกิดขึ้นในวันที่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของจีนต้องเผชิญกับภาษีนำเข้าใหม่ในยุโรป ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดส่งออกที่สำคัญที่สุดของจีน อัตราภาษีใหม่นี้ถูกเรียกเก็บเพิ่มเติมจากภาษี 10% ที่มีอยู่แล้ว เพื่อเป็นความพยายามของสหภาพยุโรป (EU) ในการสร้างความเท่าเทียมให้กับแบรนด์ของตนเองกับอุตสาหกรรมยานยนต์ของจีนที่ได้รับเงินอุดหนุนอย่างมาก
จีนปฏิเสธว่าไม่ได้ใช้นโยบายอุดหนุนที่ไม่เป็นธรรม โดยอ้างว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของจีนได้เปรียบเนื่องจากเทคโนโลยีและซัพพลายเชนที่ดีกว่า โดย BYD เป็นหนึ่งในบริษัทที่ถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมในอัตราที่ต่ำที่สุดที่ 17.4%
นักวิเคราะห์คาดว่า ผลกระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์จีนจะมีจำกัด เนื่องจากมีการส่งออกไปยังยุโรปตะวันตกเพียง 10% ในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน แต่ก็หมายความว่ารถยนต์ส่วนเกินที่เริ่มกองอยู่ในจีนเนื่องจากการบริโภคภายในประเทศชะลอตัว อาจถูกส่งไปยังตลาดในภูมิภาคเพื่อนบ้านมากขึ้น
ณ สิ้นปีที่แล้ว BYD ครองส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยถึง 40% ด้วยข้อเสนอราคาที่น่าดึงดูดและเกมการตลาดของ Rever Automotive ผู้จัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ส่วนคู่แข่งอย่าง NETA และ Great Wall Motor ตามมาอยู่ที่ 17% และ 16% ตามลำดับ
NETA เพิ่งประกาศลดราคา V-II SUV ลง 50,000 บาท หรือ 8% ส่วน BYD Dolphin รุ่นใหม่มีราคาถูกกว่าตอนเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปีที่แล้ว 18-26% BYD อาจเสนอส่วนลดที่มากกว่านี้ได้ เนื่องจากราคาในไทยยังสูงกว่าราคาในประเทศจีนประมาณ 94,000 บาท
โรงงานของ BYD ในระยองสามารถผลิตรถยนต์ได้ถึง 150,000 คันต่อปี แต่อาจยังไม่ถึงกำลังการผลิตสูงสุดในปีแรก ผู้ผลิตรายอื่นๆ ในไทยมีกำลังการผลิตรวมกันไม่ถึง 1,000 คันต่อเดือน
นอกจากแรงกดดันในประเทศแล้ว ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยยังกังวลว่าจะสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับจีนในออสเตรเลีย ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางการส่งออกที่สำคัญที่สุด เพราะออสเตรเลียจะบังคับใช้มาตรฐานประสิทธิภาพรถยนต์ใหม่ในปี 2025 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกรถยนต์สันดาปของไทย โดย BYD มียอดขายในออสเตรเลียเป็นรองเพียง Tesla เท่านั้น
นักวิเคราะห์ของ HSBC ยังคงมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับปริมาณการขายและการเติบโตของส่วนแบ่งการตลาดของ BYD แม้ว่าจะปรับลดประมาณการกำไรสุทธิของบริษัทลง 8% “เราเชื่อว่าคู่แข่งไม่สามารถลอกเลียนความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของบริษัทได้ง่ายๆ ซึ่งได้รับการเสริมด้วยนวัตกรรมตลอดทศวรรษ และความสามารถในการบูรณาการในแนวตั้งที่ไม่เหมือนใคร”
ภาพ: Nattawit Khomsanit / Shutterstock
อ้างอิง:
