BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของจีนที่เพิ่งเปิดตัวในไทยไปไม่นานนี้ วางแผนที่จะทำให้ ‘ไทย’ เป็นศูนย์กลางการผลิตแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะเข้ามาท้าทายกับแบรนด์จากชาติเดียวกันที่บุกเข้ามาก่อนแล้ว
ตามรายงานของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ BYD จะลงทุนเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 1.79 หมื่นล้านบาทในจังหวัดระยอง โดยว่ากันว่าได้ซื้อพื้นที่ราว 700 ไร่จาก WHA ซึ่งเป็นผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรม
“กลุ่ม WHA ได้ตกลงขายที่ดินแปลงใหญ่ในนิคมอุตสาหกรรมของเราในจังหวัดระยอง” จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ Nikkei Asia โดยปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- โบรกคาดผลดำเนินงาน WHA อาจกลับสู่ระดับก่อนโควิด จากแรงหนุนยอดขายที่ดินให้ BYD และต่างชาติรายอื่นที่เริ่มกลับเข้ามา
- BYD แบรนด์จีนคู่แข่งของ Tesla ทำ ‘กำไร’ ช่วงครึ่งปีแรก 2022 ได้กว่า 1.9 หมื่นล้านบาท จากยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าที่พุ่งสูง 300%
- รู้จัก BYD แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าชื่อนี้ ที่ Tesla อยากได้ และกำลังจะเข้ามาทำตลาดในไทยเป็นครั้งที่ 3
WHA Group ได้ส่งจดหมายเชิญสื่อเพื่อร่วมพิธีลงนามซื้อ-ขายที่ดิน ระหว่าง WHA Group และ BYD สำหรับสร้างโรงงานผลิตรถ EV แห่งแรกของ BYD ในอาเซียน ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36
พิธีดังกล่าวจะจัดขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ (8 กันยายน) นอกจากจรีพรแล้ว ยังมี หลิวเสว่เลี่ยง ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายขายประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท บีวายดี ออโต้ อินดัสทรี จำกัด เข้าร่วมด้วย
เมื่อเดือนที่แล้ว BOI ได้อนุมัติสิทธิพิเศษในการลงทุนที่มอบให้กับ BYD โดยสิทธิพิเศษได้บังคับให้ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าต้องเริ่มลงทุนภายใน 3 ปี
คาดว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของไทยจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ที่ให้เงินช่วยเหลือได้มากถึง 1.5 แสนบาทต่อรถยนต์ไฟฟ้า 1 คัน นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายนรัฐบาลได้ลดภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าเหลือ 2% จากเดิมมีตัวเลขที่ 8%
Nikkei Asia ระบุว่า นโยบายเหล่านี้มีขึ้นเพื่อช่วยให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของอาเซียน และภายในปี 2573 จะเพิ่มอัตราส่วนของรถยนต์ไฟฟ้าเป็น 30%
แน่นอนว่าการเข้ามาของ BYD จะต้องสู้รบปรบมือกับแบรนด์เพื่อนร่วมชาติที่เข้ามาบุกก่อนแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Great Wall Motor ที่เข้ามาในปี 2563 และทำยอดขายเป็นเบอร์ 1 ด้วยตัวเลข 5,219 คันในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ในขณะที่ MG ทำยอดขาย 4,500 คันในช่วงเวลาเดียวกัน
ภาพ: Getty Images
อ้างอิง: