BYD มียอดขายในปี 2022 เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า เป็น 1.86 ล้านคัน แม้ส่วนใหญ่จะอยู่ในจีนก็ตาม ทว่าตัวเลขดังกล่าวทำให้ค่ายรถจากแดนมังกรมียอดขายที่แซงหน้า Tesla ขึ้นแท่นเป็นผู้ขายรถยนต์ไฟฟ้าอันดับ 1 ของโลก
ยอดขายที่เฟื่องฟูของ BYD มาจากกลุ่มรถแท็กซี่และครอบครัว ซึ่งเป็นการย้ำถึงสถานการณ์เศรษฐกิจที่ย่ำแย่จากโควิดจนทำให้ชาวจีนหันไปซื้อรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศ แทนที่จะเป็นรถยนต์นำเข้าหรือแบรนด์ต่างประเทศอย่าง Tesla
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- Tesla หั่นราคารถรุ่นโมเดล 3 และ Y ในจีนลงอีก 6-13.5% หลังยอดขายเดือน ธ.ค. รูดกราว รอลุ้นราคาในไทยปรับตามหรือไม่
- เทียบจุดเด่นรถยนต์ EV ยอดฮิต ‘Tesla กับ BYD’ ก่อนตัดสินใจซื้อ!
- การมีรถยนต์ไฟฟ้าพร้อมส่งมอบทำให้แบรนด์จีนได้เปรียบเหนือแบรนด์ ญี่ปุ่น จุดติด ‘BYD’ ให้เร่งเครื่องในไทย
Eric Han ผู้จัดการอาวุโสของ Suolei ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาในเซี่ยงไฮ้กล่าวว่า BYD ได้รับประโยชน์จากการที่ลูกค้ารัดเข็มขัด โดยรถยนต์สำหรับตลาดแมสได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภคชนชั้นกลางชาวจีน เนื่องจากถูกมองว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายออกไป
โมเดล BYD ส่วนใหญ่มีราคาอยู่ระหว่าง 1-2 แสนหยวน ถูกกว่าเมื่อเทียบกับ Tesla และคู่แข่งอื่นๆ เช่น NIO และ Xpeng ซึ่งโมเดลที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีขายในราคามากกว่า 3 แสนหยวนต่อรุ่น
“รถ EV ที่มีราคาต่ำกว่า 2 แสนหยวนเป็นที่นิยมในหมู่ลูกค้าที่เป็นพนักงานออฟฟิศ เพราะพวกเขาต้องการประหยัดเงิน” Tian Maowei ผู้จัดการฝ่ายขายของ Yiyou Auto Service ในเซี่ยงไฮ้กล่าว “ในตลาดภายในประเทศ รถยนต์ไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริดของ BYD นั้นขายง่าย เพราะติดตั้งแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง ซึ่งเชื่อว่าใช้งานได้ดีพอๆ กับที่ผู้ผลิตรถยนต์ระดับพรีเมียมใช้”
ในขณะที่ Tesla รายงานยอดส่งมอบทั่วโลกในปีที่แล้วเพิ่มขึ้น 40% เป็น 1.31 ล้านคัน ซึ่งยังคงน้อยกว่ายอดขายของ BYD ถึง 29% ซึ่งในช่วงปลายปี Tesla ได้เสนอราคาที่ลดแหลก และโปรโมชันอื่นๆ ในสหรัฐอเมริกา จีน และที่อื่นๆ เพื่อกระตุ้นความต้องการ แม้ว่าการทำเช่นนั้นอาจสร้างแรงกดดันต่ออัตรากำไรขั้นต้นก็ตาม
อย่างไรก็ตามการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในแดนมังกรอาจชะลอตัวลงเหลือร้อยละ 30 ในปี 2023 หลังจากเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าในปี 2022 เป็นประมาณ 6.4 ล้านคัน เนื่องจากทางการจะยุติการอุดหนุนการซื้อรถ EV แล้ว
ถึงกระนั้นจีนจะยังเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับ EV ซึ่งรถยนต์ใหม่ 3 ใน 5 คันที่เข้าสู่ถนนของจีนภายในปี 2025 มีแนวโน้มที่จะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ ตามการคาดการณ์ของ UBS
อ้างอิง: