BYD ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนกำลังเร่งขยายตลาดนอกประเทศอย่างหนัก ท่ามกลางความตึงเครียดด้านการค้ากับสหรัฐฯ ในสงครามแย่งชิงความเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าโลก
BYD ประสบความสำเร็จในการทดลองตลาดหลากหลายประเทศและมียอดขายเติบโตอย่างรวดเร็วหลังเข้าตลาดใหม่เพียง 1 ปีเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอนทางนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าจีนไปยังตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ และยุโรป BYD จึงวางแผนย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกว่า โดยปัจจุบัน BYD มีโรงงานในไทย บราซิล อินโดนีเซีย ฮังการี และอุซเบกิสถานแล้ว
BYD เน้นบุกเบิกตลาดประเทศที่ไม่มีอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะช่วยลดการผลักดันเชิงนโยบายที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ นอกจากนี้ BYD ยังมีรถยนต์หลากหลายรูปแบบ ทั้งรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (BEV) และรถยนต์ไฮบริด (HEV) ซึ่งเหมาะกับตลาดเกิดใหม่ที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้ายังตามหลัง ขณะที่ Tesla มีแต่รถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียมเท่านั้น
ตัวอย่างความสำเร็จของกลยุทธ์นี้เห็นได้ชัดในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบัน BYD มียอดขายแซงหน้า Toyota ขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง แม้จะเพิ่งเข้าทำตลาดได้เพียงปีเดียว โดยโรงงาน BYD ในประเทศไทยจะเริ่มผลิตได้ภายในปีนี้และจะกลายเป็นฐานการผลิตสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สถิติระบุว่าปีที่แล้ว BYD ขายรถยนต์ไฟฟ้าไปรวม 70,000 คันในอาเซียน ครองส่วนแบ่งตลาดถึง 35% ทิ้งห่างคู่แข่งอย่าง VinFast และ Tesla โดยคาดว่าอาเซียนจะยังคงเป็นตลาดต่างประเทศที่แข็งแกร่งที่สุดของ BYD ในระยะสั้นระหว่างที่บริษัทกำลังพยายามเพิ่มยอดส่งออกเป็นเท่าตัว นอกจากนี้ BYD ยังมีแผนลงทุนสร้างโรงงานในอินโดนีเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ เพื่อรองรับการเติบโตในภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม BYD และค่ายรถจีนอื่นๆ ต้องเผชิญแรงกดดันจากฝั่งยุโรปที่ไม่ต้องการสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับแบรนด์รถยนต์จีน
แม้ว่าจีนยังคงเป็นตลาดหลักของ BYD แต่การเติบโตอย่างรวดเร็วของ BYD รวมถึงค่ายรถยนต์จีนอื่นๆ ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์จากสหรัฐฯ และยุโรปเริ่มไม่สบายใจ ส่งผลให้มีเสียงเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยับยั้งการนำเข้ารถยนต์จากจีนมากขึ้น
อ้างอิง: