×

เปิดลิสต์ ‘เทรนด์ธุรกิจ-ความเสี่ยง-บุคคล’ ที่ต้องจับตามองใน 5 อุตสาหกรรมสำคัญของปี 2023

03.01.2023
  • LOADING...

Financial Times ได้เผยแพร่บทความเกี่ยวกับเทรนด์ธุรกิจ ความเสี่ยง และบุคคล ที่น่าจับมองของ 5 อุตสาหกรรม ได้แก่ พลังงาน, เทคโนโลยี, Private Capital, อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ และคริปโตเคอร์เรนซี 

 

โดยอุตสาหกรรมเหล่านี้เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการที่เศรษฐกิจกำลังปรับเข้าสู่จุดสมดุลใหม่ หลังเผชิญกับปัจจัยสำคัญหลายประการเมื่อปีก่อน เช่น การผ่านพ้นช่วงเวลาแพร่ระบาดหนักของโควิด หรือสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


พลังงาน

 

  • เทรนด์ที่ต้องจับตามอง

ปี 2023 อาจเป็นปีแห่งการเริ่มต้นยุคสมัยใหม่ของอุตสาหกรรมพลังงาน ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของการที่ตลาดน้ำมันโลกถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ สำหรับ 3 ทศวรรษที่ผ่านมา การซื้อขายน้ำมันค่อนข้างจะไหลลื่นอย่างเสรีทั่วโลก แต่หลังจากยุโรปและสหรัฐอเมริกาตัดสินใจคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันของรัสเซีย ทำให้ตลาดน้ำมันไม่เป็นเช่นเดิมอีกต่อไป และแบ่งแยกโลกออกเป็น 2 ฝั่งอีกครั้งคือ ตะวันออกและตะวันตก 

 

น้ำมันของรัสเซียที่เคยส่งออกไปยังยุโรป ปัจจุบันต้องส่งออกไปยังจีนและอินเดีย ขณะที่น้ำมันของสหรัฐฯ และตะวันออกกลางถูกส่งมายังยุโรปแทนที่ ผลที่ตามมาคือ ไม่ว่าการคว่ำบาตรจะได้ผลหรือไม่ และใครจะมารับซื้อน้ำมันจากรัสเซีย สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นคือราคาน้ำมันมีโอกาสจะสูงขึ้นอีกในช่วง 12 เดือนข้างหน้า 

 

  • บุคคลที่จะมีบทบาทสำคัญ

Wael Sawan ก้าวขึ้นมารับตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของ Shell บริษัทด้านพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป โดยขึ้นมาแทนที่ Ben van Beurden อดีตซีอีโอของบริษัทที่ดำรงตำแหน่งมา 9 ปี 

 

Sawan รับช่วงต่อการบริหารงานใน Shell ในช่วงที่บริษัททำกำไรได้เป็นสถิติสูงสุด แต่กลับมีความไม่แน่นอนสูงเกี่ยวกับอนาคตของบริษัท บทบาทของ Sawan หลังจากนี้คือการนำกลยุทธ์ของบริษัทเพื่อเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานมาใช้ให้เกิดขึ้นจริง ซึ่งการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์แม้เพียงเล็กน้อยของ Shell อาจส่งผลกระทบในวงกว้างต่ออุตสาหกรรมได้ 

 

คำถามสำคัญที่ตามมาสำหรับ Sawan คือ เขาจะเลือกเดินไปในทางไหน ระหว่างเดินหน้าเปลี่ยนธุรกิจไฮโดรคาร์บอนไปสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ หรือยังคงรักษากำลังการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในระดับนี้ต่อไปท่ามกลางวิกฤตด้านพลังงาน

 

  • ความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุด

หน่วยงานกำกับในสหรัฐฯ และยุโรปต่างปรับกฏเกณฑ์ที่เข้มงวดมากขึ้น เพื่อบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ อย่างหน่วยงาน ก.ล.ต. สหรัฐฯ เมื่อเดือนมีนาคม 2022 ได้เสนอมาตรการให้บริษัทเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนในรายงานประจำปี นอกจากนี้ ภายใต้ร่างกฎหมาย Inflation Reduction Act ระบุว่า การปล่อยก๊าซมีเทนส่วนเกินในสหรัฐฯ จะมีบทลงโทษนับแต่ปี 2024

 

ในปีนี้ดูเหมือนว่าจะมีคดีฟ้องร้องเกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้เพิ่มขึ้น พร้อมกับผลกระทบโดยตรงต่อแนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทพลังงาน

 

เทคโนโลยี 

 

  • เทรนด์ที่ต้องจับตามอง

Artificial Intelligence หรือ AI ก้าวมาเป็นเทคโนโลยีกระแสหลัก ด้วยระบบที่สามารถเขียนหรือสร้างสรรค์รูปภาพได้ออกมาไม่ต่างไปจากฝืมือของมนุษย์ ด้วยเงินลงทุนจำนวนมหาศาลที่ไหลเข้ามาลงทุน การแข่งขันภายในอุตสาหกรรมตอนนี้คือ จะทำอย่างไรเพื่อทำให้ระบบเหล่านี้เข้าถึงคนในวงกว้าง

 

อีกหนึ่งเทคโนโลยีสำคัญที่ถูกปล่อยออกมาช่วงปลายปี 2022 คือ ChatGPT โดย OpenAI จำลองให้เห็นรูปแบบใหม่ของ AI ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแนวทางการทำงานของมนุษย์ร่วมกับคอมพิวเตอร์ ในปีนี้มีแนวโน้มที่จะเห็นการพัฒนาใหม่ๆ มากขึ้น ด้วยความสามารถของระบบที่ครอบคลุมถึงการผลิตวิดีโอและเสียง

 

  • บุคคลที่จะมีบทบาทสำคัญ

คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Elon Musk ซึ่งเป็นบุคคลที่ Financial Times เลือกเป็นบุคคลด้านเทคโนโลยีที่ต้องจับตามอง 3 ปีซ้อน แต่เหตุผลในปีนี้อาจแตกต่างออกไป แม้ว่าหลังจากนี้เขาจะตัดสินใจลงจากตำแหน่งซีอีโอของ Twitter แต่ด้วยลักษณะนิสัยของ Elon Musk จะทำให้เราได้ยินชื่อเขาอยู่ตลอด 

 

สิ่งที่ต้องติดตามหลังจากนี้คือ Elon Musk จะกลับไปโฟกัสในสิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุดหรือไม่ นั่นก็คือยานยนต์ไฟฟ้าและกระสวยอวกาศ และเขาจะทำอย่างไรเพื่อต่อยอดเทคโนโลยีไปยังอุตสาหกรรมใหม่ 

 

  • ความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุด

การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมการเงินในปี 2022 กระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีอย่างหนักหน่วง ทำให้ฟองสบู่ในบริษัทเทคโนโลยีซึ่งถือเป็น Growth Stock ฟีบลงมา เมื่อรวมกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ ทำให้การตีมูลค่าบริษัทเทคโนโลยีจะลดต่ำลง 

 

หลายบริษัทเทคโนโลยีต้องตัดสินใจลดต้นทุนพนักงานและลดการลงทุน เศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงกระทบอุปสงค์ที่มีต่อสินค้าและบริการ จะยิ่งซ้ำเติมให้บริษัทต่างๆ ลดต้นทุนมากขึ้นอีก

 

Private Capital 

 

  • เทรนด์ที่ต้องจับตามอง

บริษัทด้าน Private Equity ยักษ์ใหญ่อย่าง Blackstone, CVC และ KKR ต่างพิจารณาที่จะชะลอการลงทุน เงินลงทุนของบริษัทเหล่านี้อาจจะถูกกองไว้เฉยๆ 

 

เวลากลายมาเป็นศัตรูของพวกเขา ด้วยต้นทุนดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ปล่อยกู้ แต่เป็นปัญหาสำหรับพวกเขาเมื่อรอบครบกำหนดชำระคืนใกล้เข้ามา 

 

ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นที่ซบเซาลงทำให้เป็นสิ่งที่ยากลำบากมากขึ้นต่อการขายธุรกิจออกไปและรับเงินทุนกลับมา ก่อให้เกิดปัญหาด้านสภาพคล่องสำหรับนักลงทุนและการเพิ่มจำนวนเงินลงทุนในบริษัทใหม่ๆ นอกจากนี้ เวลายังได้กระทบต่อมูลค่าอีกด้วย ทำให้บริษัทลงทุนต่างๆ อาจจำเป็นต้องบันทึกการด้อยค่าของเงินลงทุน

 

  • บุคคลที่จะมีบทบาทสำคัญ

Orlando Bravo มหาเศรษฐีพันล้านผู้ร่วมก่อตั้ง Thoma Bravo โดดเด่นขึ้นมาจากความสามารถในการระดมทุนและนำไปลงทุนอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาประมาณ 2 ปี บริษัทของเขาระดมทุนมาได้กว่า 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์ และนำเงินไปลงทุนกับบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์มากกว่า 12 แห่ง 

 

Bravo ยังคงมุ่งลงทุนอย่างหนักเมื่อปีก่อน โดยเข้าซื้อกิจการของบริษัทมหาชน 7 แห่ง นับแต่ที่รัสเซียเริ่มต้นบุกเข้าไปในยูเครน ขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่จะแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เขาลงทุนไปนั้นแพงเกินไปหรือไม่ เพราะการพุ่งขึ้นของต้นทุนดอกเบี้ยกระทบต่อมูลค่าของบริษัทเทคโนโลยีโดยตรง 

 

  • ความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุด

Jonathan Kanter หัวหน้าฝ่ายป้องกันการผูกขาด ซึ่งเดินหน้าบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง กำลังโฟกัสในส่วนของ Private Equity มากขึ้น 

 

Kanter กังวลเกี่ยวกับขนาดและอิทธิพลของอุตสาหกรรม การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นทำให้ผู้ที่ทำดีลควบรวมกิจการต้องกลับมาคิดทบทวนมากขึ้น 

 

อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์

 

  • เทรนด์ที่ต้องจับตามอง

ไม่มีใครในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์จะคาดหวังว่าปี 2023 จะเป็นปีที่ง่าย ตลาดที่ซบเซาได้เริ่มต้นขึ้นแล้วและอาจจะย่ำแย่ลงไปอีก คำถามที่นักวิเคราะห์และนักลงทุนสงสัยคือ ตลาดจะดิ่งลงไปหนักแค่ไหนก่อนจะเข้าสู่จุดสมดุล 

 

เจ้าของอาคารสำนักงาน ร้านค้า และคลังสินค้าทั่วโลก ยังคงค้นหาคำตอบว่าผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยจะรุนแรงแค่ไหน 

 

ตลาดกำลังปรับตัวจากยุคที่เงินทุนถูก ซึ่งเคยดึงดูดนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาเป็นจำนวนมาก ไปสู่ยุคที่ต้นทุนสูงขึ้น พร้อมกับแรงกดดันจากเงินเฟ้อและความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่จะทำให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์หลายรายอาจจำใจต้องขายออกมา โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ เนื่องจากจำเป็นต้องรีไฟแนนซ์เงินกู้ด้วยต้นทุนที่สูงขึ้น 

 

  • บุคคลที่จะมีบทบาทสำคัญ

Sandeep Mathrani ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำคนใหม่ของ WeWork ในปี 2020 ด้วยเป้าที่จะทำให้บริษัทพลิกมีกำไร แต่จนถึงขณะนี้ WeWork ยังคงต้องเผชิญกับการขาดทุน อย่างไรก็ตาม หาก Mathrani สามารถทำให้บริษัทพลิกกลับมาทำกำไรได้ จะเป็นแนวทางที่แสดงให้เห็นว่า บริษัทที่มีหนี้จำนวนมหาศาลจะสามารถเอาตัวรอดได้อย่างไรท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้น

 

  • ความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุด

ในปี 2022 สองคำสำคัญที่ถูกนำมาใช้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์คือ Stranded Assets และ Zombie Offices ซึ่งทั้งสองคำอธิบายถึงอาคารสำนักงานที่สร้างมาแล้วหลายปีหลายแห่ง ซึ่งหาผู้เช่าได้ยากภายใต้รูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไป 

 

นอกจากนี้ การปรับกฎเกณฑ์ต่างๆ ทำให้เจ้าของอาคารสำนักงานแต่ละแห่งต้องลงทุนปรับปรุงอาคารเพื่อให้เข้ากับกฎเกณฑ์ใหม่และดึงดูดผู้เช่า

 

คริปโตเคอร์เรนซี

 

  • เทรนด์ที่ต้องจับตามอง

หลังการดิ่งลงอย่างหนักของตลาดคริปโต สะท้อนจากการปลดพนักงานและการล้มละลายของหลายบริษัท รวมทั้งราคาของโทเคนต่างๆ ที่ดิ่งลง ไม่ว่าจะเป็น Bitcoin หรือ Ether หลังจากนั้นอุตสาหกรรมต้องเผชิญกับความปั่นป่วนอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน จากการล่มสลายของ FTX

 

การถล่มลงของอุตสาหกรรมคริปโต ย้ำเตือนว่าการกระจายศูนย์ (Decentralisation) คือพื้นฐานและจุดแข็งที่สำคัญ แต่ปัจจุบันจะเห็นว่าหลายบริษัทในโลกคริปโตยังคงเป็นรูปแบบของการรวมศูนย์ (Centralisation) อย่างกรณีของ Binance ศูนย์ซื้อขายคริปโตที่ใหญ่ที่สุดในโลก ครองส่วนแบ่งการตลาดกว่า 60% 

 

  • บุคคลที่จะมีบทบาทสำคัญ

Cathie Wood ของ Ark Investment Management สูญเสียมูลค่าสินทรัพย์ไปเกือบ 5 หมื่นล้านดอลลาร์ จากจุดพีคเมื่อปี 2021 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดคริปโตจะดิ่งลงต่อเนื่อง แต่ Wood ทำนายว่า Bitcoin จะวิ่งกลับไปมีมูลค่า 1 ล้านดอลลาร์ในปี 2030 

 

ทั้งนี้ ราคา Bitcoin ร่วงลงมากว่า 60% ในปีที่ผ่านมา หากปีนี้ราคา Bitcoin ฟื้นกลับมาได้ ศรัทธาของ Wood ต่อสิ่งที่เรียกว่า Disruptive Innovation อาจกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง 

 

  • ความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุด

ภายหลังการล่มสลายของ FTX และบริษัทด้านคริปโตอื่นๆ ทำให้เกิดคำถามต่อความมั่งคงทางการเงินของบริษัทที่เหลือในอุตสาหกรรม 

 

อย่างกรณีของ Binance ระบุว่า บริษัทถือครองสินทรัพย์อยู่คิดเป็นมูลค่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ และเพียงพอต่อการไถ่ถอนของนักลงทุน แต่สิ่งที่บริษัทเปิดเผยออกมานี้ยังไม่ได้รวมถึงหนี้สิน ทำให้ยากต่อการประเมินความแข็งแกร่งทางเงินของบริษัท และด้วยความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น ทำให้ Binance ยังคงเป็นหนึ่งในเรื่องที่น่ากังวลอย่างมากต่อหน่วยงานกำกับและผู้คนทั่วไป 

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising