อาจเดาได้อยู่แล้วว่า มติของสภาผู้แทนราษฎรย่อมให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ในวาระแรก ด้วยคะแนน 322 เสียง ไม่เห็นด้วย 158 เสียง แต่คลื่นของความขัดแย้งที่เร้นลึกภายในพรรคร่วมรัฐบาล กลับก่อตัวขึ้นมาชัดเจนจนเกินจะซ่อนไว้ได้ด้วยตัวเลข
เห็นได้ชัดจากบรรดา ‘งูเห่าทางการเมือง’ หรือ สส. จากฝ่ายค้านที่ประกาศเตรียมแยกตัวไปร่วมงานกับรัฐบาล ที่ทยอยเปิดตัวกันออกมา ยังไม่นับการช่วงชิงเก้าอี้กรรมาธิการฯ ของ ‘พรรคไทยสร้างไทย’ ที่แตกหักเป็น 2 ขั้วชัดเจน
นอกเหนือจากธีม ‘ช่วยรัฐบาลหาเงิน’ ที่ฝ่ายค้านชูขึ้นมาในการอภิปรายครั้งนี้ อีกธีมหนึ่งที่แถมเข้ามาด้วยอย่างไม่เป็นลายลักษณ์อักษร น่าจะเป็นการพุ่งเป้าไปที่ปมขัดแย้งระหว่าง 2 พรรคการเมืองแกนนำฝ่ายรัฐบาล ที่ผู้อภิปรายจากฝ่ายค้านหลายคนสอดแทรกเข้ามาอย่างกลมกลืนไปกับเนื้อหาสาระ
ฝ่ายค้านเปิดงบพร้อมเปิดแผลรัฐบาล
ในการอภิปรายโหมโรงโดย ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในบทบาทผู้นำฝ่ายค้าน ชี้ว่ารัฐบาลได้จัดงบประมาณแบบขาดดุลต่อเนื่องกันมา 2 ปี ทำให้ต้องกู้เงินเพื่อมาชดเชย 8.6 แสนล้านบาท ซึ่งเกือบเต็มเพดาน สะท้อนว่ารัฐบาลใช้เงินโดยไม่มีแผนยุทธศาสตร์รองรับใดๆ ไว้สำหรับอนาคต
“ที่ผ่านมารัฐบาลใช้เวลาไปกับการแก้ไขความขัดแย้งในพรรครัฐบาลด้วยกันเอง มากกว่าจะใช้ให้แก้ไขให้ประเทศผ่านพ้นวิกฤต” ผู้นำฝ่ายค้านวิจารณ์
สำหรับการอภิปรายโดยทั่วไปของพรรคร่วมฝ่ายค้านนำโดยพรรคประชาชนนั้น แม้ไม่ได้หวือหวา แต่ก็เป็นไปตามที่ ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน เคยแง้มไว้ว่า ในจำนวนผู้อภิปรายเกือบ 50 คนนั้น ประเด็นจะไม่ซ้ำกันเลย ซึ่งไล่มาตั้งแต่ งบประมาณของกองทัพ, นโยบาย Soft Power, งบการบริหารจัดการน้ำ เรื่อยไปจนถึงงบของสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
นอกจากการเปิดเปลือย ‘งบแผ่นดิน’ ออกมาสังคายนาแทบทุกหน้าเอกสารแล้ว ฝ่ายค้านยังได้ ‘เปิดแผล’ ทางการเมืองของพรรคแกนนำรัฐบาลไปพร้อมกันด้วย ทั้งการขยี้เรื่องงบประมาณปรับปรุงอาคารรัฐสภา โดย ภัณฑิล น่วมเจิม สส. กทม. และ พริษฐ์ วัชรสินธุ สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ร้อนถึง พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ต้องใช้เวลาบนบัลลังก์ชี้แจงด้วยตนเอง
ขณะที่การอภิปรายส่งท้ายของ ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน ซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ในการกุมบังเหียนเนื้อหาของพรรคครั้งนี้ ก็กล่าวหารัฐบาลอย่างดุเดือด โดยเทียบกับการจัดสรรงบช่วงวิกฤตโควิดปี 2564 ของรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขณะนั้น ที่ศิริกัญญาชี้ว่างบประมาณต้องรื้อใหม่ทั้งหมด จึงเรียกร้องให้ยุบสภา
“ความรู้สึกวันนั้นไม่ต่างจากวันนี้ เพราะต้องรื้อหมด แต่ถ้ารื้อหมดนั่นหมายความว่า รัฐบาลก็หมดความชอบธรรมที่จะบริหารประเทศไปแล้ว ต้องยุบสภาแล้ว ตอนปี 2564 ดิฉันก็ขอให้ยุบสภา แต่วันนี้ได้เรียนรู้ว่าการเมืองแห่งความเป็นจริงว่า ไม่มีนายกฯ ที่ไหนที่เขายุบสภาตอนที่ความนิยมกำลังย่ำแย่ ยกเว้นแต่จะมีศึกภายในจากพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง แต่อย่าเอาพรรคประชาชนไปเป็นตัวประกัน ระหว่างการทะเลาะกันของท่านทั้งสอง” รองหัวหน้าพรรคประชาชนกล่าว
รัฐบาลยืนยันไทยไม่ใกล้เคียง ‘รัฐล้มเหลว’
กว่า 2 ชั่วโมงที่แพทองธารชี้แจงหลักการและเหตุผลของงบประมาณปี 2569 รัฐบาลคาดการณ์เศรษฐกิจเติบโต 2.3-3.3% ประกอบกับภาระหนี้สิน และปัจจัยจากมาตรการภาษีสหรัฐเข้ามา ทำให้ต้องจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล โดยเน้นยุทธศาสตร์ 6 ด้าน เพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างและกระตุ้นเศรษฐกิจ
ตลอดการอภิปราย 4 วัน รัฐมนตรีจากหลากหลายกระทรวงต่างลุกขึ้นอภิปราย โดยเฉพาะ 3 รัฐมนตรีของกระทรวงการคลัง ได้ชี้แจงตอบโต้ข้อซักถามของฝ่ายค้าน พร้อมยอมรับถึงการที่รัฐบาลสามารถใช้งบประมาณจริงได้เพียง 1 ใน 4 แต่ยืนยันว่าเป็นการบริหารจัดการด้วยความรับผิดชอบและสัดส่วนการขาดดุลมีแนวโน้มลดลงในระยะยาว
นอกจากนี้ ยังอธิบายถึงการจัดสรรงบประมาณสู่ท้องถิ่นที่เพิ่มขึ้น การใช้กลไกมาตรา 28 สำหรับโครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs ทำให้ไม่ต้องใช้เงินในงบประมาณสักบาทเดียว และอยากจะให้ฝ่ายค้านที่เสนอแคมเปญ ‘ช่วยรัฐบาลหาเงิน’ เข้าใจความยืดหยุ่นว่า รัฐบาลพร้อมทบทวนและปรับแก้งบประมาณหลังการพิจารณาในสภาวาระแรก และในขั้นตอนอื่นๆ พร้อมปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าประเทศไทยใกล้เคียงกับรัฐล้มเหลว
ขณะเดียวกัน ประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาในวาระงบประมาณนี้ คือ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ที่ถูกปรับลดลง เพื่อให้ปรับกลยุทธ์การบริหารจัดการหนี้ตามกฎหมายใหม่ ฝ่ายค้านมีความกังวลว่าอาจจะไม่เพียงพอกับผู้กู้ แต่รัฐบาลยืนยันว่าพร้อมที่จะพิจารณาเพิ่มเงินทุนหากจำเป็น เพื่อให้กองทุนสามารถสนับสนุนการศึกษาได้อย่างต่อเนื่อง และย้ำว่าสถานะกองทุนยังไม่ถึงขั้นวิกฤต ‘กยศ. ไม่ได้ถังแตก’
รัฐบาลยังชี้ด้วยว่า ทุกท่านที่อภิปรายมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คืออยากเห็นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยการจัดทำงบประมาณปี 2569 จะเป็นจุดที่นำไปสู่การจัดงบประมาณในปีต่อๆ ไป
ด้าน สุทิน คลังแสง สส. พรรคเพื่อไทย ชี้แจง ว่าแม้ส่วนตัวจะไม่พอใจงบประมาณที่จำกัด แต่เข้าใจถึงสถานะการเงินประเทศ พร้อมโต้ฝ่ายค้านเรื่องงบกองทัพที่ต้องพิจารณาตามสถานการณ์ความตึงเครียดรอบด้าน และเหน็บแนมความแตกต่างในการแก้ปัญหาของฝ่ายค้านระหว่าง ‘มืออาชีพ’ กับ ‘มือสมัครเล่น’
ส่วนแพทองธารกล่าวปิดการอภิปรายงบประมาณปี 2569 ยืนยันว่าจะใช้เพื่อฟื้นเศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างโอกาสให้ประชาชนอย่างทั่วถึง โดยตระหนักถึงข้อจำกัดเศรษฐกิจโลกและมุ่งมั่นขับเคลื่อนนโยบายตามที่แถลงต่อรัฐสภา
รัฐบาลยืนยันจะรับฟังข้อเสนอแนะและทุ่มเทแรงกายแรงใจในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ เพื่อให้ประเทศผ่านพ้นวิกฤตและบรรลุผลสำเร็จร่วมกับฝ่ายค้านที่เป็นผู้ตรวจสอบ
จับตา 2 พรรคตัวแปร ถูกยึดกระทรวงเกรด A?
ตลอด 3 วันที่ผ่านมาที่อาคารรัฐสภา พรรคตัวแปรตัวที่สำคัญในพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทยที่มี 69 เสียง หรือแม้แต่พรรคน้องใหม่อายุไม่ถึงขวบปีที่มี 26 เสียงอย่างกล้าธรรม ล้วนมีไฮไลต์ที่น่าสนใจทั้งสิ้น
พรรคภูมิใจไทยมีจำนวน สส. ผู้อภิปรายงบไม่มากนัก มีประมาณ 15-16 คน โดยที่แต่ละคนมุ่งเน้นไปที่การอภิปรายถึงปัญหาของ สส. ในพื้นที่ รวมถึงงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงที่พรรคภูมิใจไทยกำกับดูแลทั้ง 4 กระทรวง
เกมในสภาแน่นอนว่าไฮไลต์อยู่ในวันสุดท้าย จาก ‘ชาดา ไทยเศรษฐ์’ สส. อุทัยธานี ช่วงหนึ่งได้ประกาศสนับสนุนให้นายกรัฐมนตรียืนหยัดแจกเงินหมื่นต่อไป หากรัฐมนตรีคนไทยทำไม่ได้ ให้เปลี่ยนตัวคนอื่นไม่ทำแทน มิเช่นนั้นนายกฯ เท้งแห่งพรรคส้มมาแน่
ส่วนเกมนอกสภา อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค อยู่ในภาวะกระอักกระอ่วนใจที่ไม่อาจเป็นสุขได้มากนัก เมื่อต้องเผชิญกับคำถามสื่อมวลชนทั้งคดีฮั้ว สว. สีน้ำเงิน รวมถึงสัญญาณจากคุณพ่อนายกฯ (ทักษิณ ชินวัตร) ออกตัวอยากยึดกระทรวงมหาดไทยคืนพรรคเพื่อไทย หลังจากประกาศว่าไม่ได้ปิดประตูร่วมงานในอนาคตกับพรรคสีส้ม ขณะที่ท่าทีของนายกฯ ต่อเรื่องนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนด้วย
ขณะที่พรรคกล้าธรรมก็ถูกจับตาในศึกครั้งนี้เช่นกัน เนื่องจากมีการแบ่งเวลาของรัฐบาลบางส่วนให้กับ สส. งูเห่า ทั้ง กฤษฎิ์ ชีวะธรรมานนท์ สส. ชลบุรี จากพรรคประชาชน และ กาญจนา จังหวะ สส. ชัยภูมิ 2 สส. ที่ตัวอยู่ฝ่ายค้าน แต่ใจนั้นอยู่กล้าธรรมมาตั้งนานแล้ว
มากไปกว่านั้น ในช่วงท้ายหลังมติแล้ว กล้าธรรมถูกจับตาว่าอาจมีส่วนอยู่ในเกมการเมืองการเสนอชื่อกรรมาธิการวิสามัญฯ งบ 2569 สุดแสนชุลมุนของพรรคไทยสร้างไทยด้วย อันจะเห็นได้จากภาพที่ ไผ่ ลิกค์ เลขาธิการพรรค ไปนั่งกำกับ 5 สส. ของไทยสร้างไทยนั่นเอง
ส่วนเกมการเมืองนอกสภา กล้าธรรมก็เป็นหนึ่งในพรรคการเมืองที่คุณพ่อของนายกฯ ประกาศทวงคืนกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงเกรดเอ กลับคืนให้พรรคเพื่อไทยเช่นกัน แต่ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า ยืนยันว่ากระทรวงเกษตรต้องกล้าธรรมเท่านั้น