วันนี้ (28 พฤษภาคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 1 สมัยวิสามัญ เป็นพิเศษ วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 วงเงิน 3,780,600 ล้านบาทวาระแรก เป็นวันแรก โดยมี แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นผู้แถลงหลักการและเหตุผลว่า เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและความเสมอภาคทางสังคม ผ่านการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทต่างๆ และนโยบายสำคัญของรัฐบาล เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์และประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน
ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจในปี 2569 จะขยายตัวในช่วง 2.3-3.3% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการอุปโภคบริโภค การลงทุนภาคเอกชน และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว แต่การดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยนายกรัฐมนตรีใช้เวลาในการแถลงครั้งนี้กว่า 1 ชั่วโมง
จากนั้น ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านเป็นผู้อภิปรายจากฝ่ายค้านเป็นคนแรก ใช้เวลาทั้งสิ้น 40 นาที โดยชี้ให้เห็นถึง ภาพรวมงบฯปี 2569 ซึ่งเป็นปีที่สองติดต่อกัน ที่รัฐบาลเพื่อไทยตั้งงบขาดดุลสูงจนเกือบชนเพดาน ไม่เพียงเท่านั้นในปี 2568 เป็นปีที่รัฐบาลเพื่อไทยเคยทำสถิติถูกบันทึกไว้ว่ากู้เพื่อชดเชยการขาดดุลเป็นสัดส่วนต่อ GDP ที่สูงที่สุดในรอบ 36 ปี
ณัฐพงษ์กล่าวว่า ตนอยากย้ำว่าสิ่งที่น่ากังวลในตอนนี้ ในเรื่องของการกู้ แต่คือเรื่องที่รัฐบาลกำลังใช้เงินเกินตัวโดยไม่มีแผนการลงทุนและการหารายได้มารองรับ ไม่มียุทธศาสตร์ มีแต่กู้ซ้ำๆ ไปลงกับโครงการเดิมๆ ไม่ได้สร้างรายได้ไม่ได้สร้างอนาคตให้กับประเทศ แม้ปีนี้รัฐบาลจะเบ่งงบประมาณออกมาสูงจนเต็มเพดาน แต่งบประมาณที่ใช้ได้จริงมีพื้นที่งบประมาณเหลืออยู่น้อยเหมือนเดิม เหลือแค่ 1 ใน 4 ของงบประมาณทั้งก้อน
ณัฐพงษ์กล่าวว่า สิ่งที่ตอกย้ำภาพนี้ได้ชัดเจนที่สุดคือ งบกลางเมื่อปี 2568 ที่มติ ครม. ออกมาบอกว่ากำลังจะเปลี่ยนงบดิจิทัลวอลเล็ต ไปใช้กับการลงทุนในระยะสั้น 1.57 แสนล้านบาท เหมือนจะคิดใหม่ทำใหม่ แต่เมื่อดูวิธีการที่จัดการจริงตอกย้ำว่ารัฐบาลไม่มีภาพอะไรในหัวเลย มันคือการโยนเงิน 1.57 แสนล้านบาท ไปให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่งคำของบประมาณเข้ามาให้ทันภายใน 3 วัน แม้จะมีการขยายกรอบเวลาวิธีการแบบนี้แสดงให้เห็นว่านโยบายของรัฐบาลไม่มีแผนไม่มีวิสัยทัศน์ร่วมไม่มีวิสัยทัศน์ระดับประเทศ ลองมาให้พวกเราจัดสรรงบประมาณน้ำประปาสะอาดทั่วทั้งประเทศขนส่งสาธารณะด้วยรถเมล์ EV ซึ่งมีหลายอย่าง ที่พัฒนาอนาคตของลูกหลานได้ดีกว่านี้
ณัฐพงษ์ระบุว่า พวกตนกล้าพูดได้ว่า การอภิปรายงบ 69 ในครั้งนี้บทอภิปราย เตรียมข้อมูลโดยใช้งบปี 68 เพราะไส้ในงบประมาณแทบไม่ได้เปลี่ยนเลย ซึ่งไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่เกิดจากความไร้สภาพของรัฐบาล การบริหารประเทศพรรคประชาชนและพรรคร่วมฝ่ายค้านจึงขอใช้เวทีนี้ เพื่ออภิปรายให้ทุกคนเห็นว่าสังคมไทยยังมีความหวังประเทศไทยยังมีทางออก
ในปีที่โลกปั่นป่วนอุณหภูมิโลก ที่ร้อนแรงการค้าที่รุนแรงเศรษฐกิจโลกที่เปราะบาง เรายังใช้งบประมาณสูตรเดิมที่ล้มเหลวมาอย่างต่อเนื่องหลายปี ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่ในงบปี 69 นี้จะจัดให้ผ่านๆ ไปอีกปีไม่ได้ สำหรับอุณหภูมิโลกที่ร้อนแรง ประเทศไทยมีโอกาสสูญเสีย GDP ได้สูงถึง 45% ภาคการท่องเที่ยวและภาคการเกษตร จะได้รับผลกระทบมากที่สุด สงครามการค้าที่รุนแรงกำแพงภาษีทรัมป์ จะกระทบการส่งออกสินค้าของไทยยังหลีกเลี่ยงไม่ได้ซ้ำเติมปัญหาการนำเข้าสินค้าราคาถูกและการสวมสิทธิ์จากต่างประเทศ
2 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่การเลือกตั้งปี 66 ถ้าเรามีรัฐบาล ที่มีสมาธิในการบริหารประเทศและให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น การปฏิรูประบบงบประมาณตนมีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ประเทศไทยไม่ได้ขาดเงิน แต่ต้องตั้งคำถามให้ถูกว่าเรามีทรัพยากรอยู่ในมือ เท่าไหร่ และงบ 3.78 ล้านล้านบาท เป็นเพียงเงินก้อนหนึ่งเท่านั้น ถ้าอยากให้ประเทศผ่านพ้นวิกฤตไปได้ รัฐบาลจะต้องบริหารเงินแผ่นดิน ที่อยู่ในหน่วยงานของรัฐทุกส่วนให้เป็น เช่น เงินในระบบรัฐวิสาหกิจ งบประมาณท้องถิ่น รวมแล้วจะทำให้รัฐบาลจะมีทรัพยากรในมือ 7-8 ล้านล้านบาทต่อปี
สิ่งที่ประเทศไทยขาดในตอนนี้ไม่ใช่เงิน แต่เป็นวิธีการใช้เงินอย่างคุ้มค่า ซึ่งนายกฯ เป็นคนที่คุมสำนักงบ เมื่อท่านปล่อยให้ประเทศใช้งบแบบไร้เป้าหมาย แบบซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราจึงต้องตั้งคำถามว่าประเทศไทย เรามีคนที่ทำหน้าที่ผู้นำรัฐบาล อยู่จริงหรือไม่ สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ใช่วิกฤตทางการคลัง แต่เป็นวิกฤตทางการเมือง วิกฤตของสถาบันรัฐไทย ที่มีลักษณะการขูดรีด