เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี ถนนอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร มีพิธีบวงสรวงพระภูมิเจ้าที่ พิธีสงฆ์ และเซ่นไหว้แม่ย่านางเรือพระราชพิธี เพื่อเตรียมเรือพระราชพิธีที่จะเข้าร่วมในพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐินโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ ณ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ในวันที่ 27 ตุลาคม 2567
เรือพระราชพิธีเป็นประเพณีที่เกี่ยวพันกับสถาบันพระมหากษัตริย์ สามารถสืบย้อนได้ถึงสมัยอยุธยา ซึ่งมักเป็นองค์ประกอบสำคัญในเกือบทุกรัชสมัยจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ประเพณีโบราณนี้มีองค์ประกอบที่มีความเชื่อมโยงกับความเป็นสมมติเทพแบบพุทธ-พราหมณ์ แต่ถูกพัฒนาให้กลายเป็นของไทย พัฒนาการดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร และมีนัยสำคัญอย่างไรกับสถาบันพระมหากษัตริย์
ยอร์ช เซเดส์ นักวิชาการชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อธิบายไว้ว่า การกำเนิดของอารยธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกิดจากการที่พราหมณ์จากอินเดียสามารถควบคุมชนชั้นปกครองพื้นเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ โดยผ่านการแต่งงานกับผู้นำท้องถิ่นและการแต่งงานกับชนชั้นนำอื่นๆ เพื่อที่จะมีความชอบธรรมในการปกครองตามคติความเชื่อแบบอินเดีย จนทำให้สังคมของชาวพื้นเมืองกลายเป็นแบบอินเดียโดยปริยาย
ตรงกันข้ามกับ วอลเตอร์ส แห่งมหาวิทยาลัยคอร์เนล สหรัฐอเมริกา กลับเล็งเห็นว่า วัฒนธรรมและคติความเชื่อแบบอินเดียเกิดจากนักเดินเรือชาวอินเดีย มากกว่าการถูกครอบงำจากชนชั้นพราหมณ์ที่เข้ามามีบทบาทในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ประการแรกอารยธรรมอินเดียมีความก้าวหน้า ไม่ว่าจะในเรื่องของเทคโนโลยีของการเดินเรือ วัฒนธรรมเชิงวัตถุ รวมไปถึงระบอบการปกครองตามคติความเชื่อแบบอินเดีย ทำให้รัฐของตนได้เปรียบเหนือรัฐคู่แข่งใกล้เคียง
ประการที่ 2 ภารตภิวัตน์ (Indianization) ยังส่งเสริมการค้าระหว่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และชมพูทวีป เช่น ในเรื่องของการติดต่อสื่อสาร โดยการริเริ่มการใช้ตัวอักษรปัลลวะในการเขียนในจารึกหรือพิธีกรรมทำพิธีศพที่มีความเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าฮินดู
นอกจากนี้แนวคิดแบบศาสนาพุทธแพร่จากอินเดียเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งอินเดียได้ขยายดินแดนโดยใช้พุทธศาสนาซึ่งเกิดขึ้นราวคริสต์ศตวรรษที่ 1 ความรู้รวมถึงคำสอนในพุทธศาสนาด้วย ในขณะที่รัฐฟูนันเป็นต้นกำเนิดของแนวคิดเทวราชาที่ส่งผลต่อการปกครองของอยุธยา
แผนที่การแพร่กระจายของวัฒนธรรมอินเดียในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ภาพ: Gunawan Kartapranata
งานเรือพระราชพิธีนี้ก็สะท้อนคติความเชื่อแบบพราหมณ์และพุทธได้อย่างน่าสนใจ กล่าวคือคติความเชื่อการแสดงออกทางอำนาจแบบอินเดียมากมาย ดังที่ปรากฏให้เห็นที่รูปแบบลักษณะทางศิลปะและความหมายของเรือพระราชพิธี โดยเฉพาะโขนเรือ
สำหรับโขนเรือพระราชพิธีมีความสอดคล้องกับคติเรื่องโลกและจักรวาลที่รับอิทธิพลมาจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู โดยที่ ‘ครุฑ’ และ ‘นาค’ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนเทพเจ้า
คติความเชื่อดังกล่าวถูกนำมาสร้างเป็นโขนเรือพระราชพิธี เพื่อใช้เป็นเรือที่ประทับของพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่สมัยอยุธยา ครุฑถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ที่มีความเกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ตามคัมภีร์ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งถือว่าเป็นเทพพาหนะของพระวิษณุหรือพระนารายณ์ และไทยก็รับเอาคติความเชื่อนี้มาใช้เช่นกันตั้งแต่สมัยอยุธยา
พระมหากษัตริย์เป็นดั่ง ‘พระนารายณ์’ อวตารมาเป็น ‘พระราม’ ผู้ครองเมืองอโยธยา และปราบทุกข์เข็ญในคัมภีร์มหากาพย์รามายณะตามคติเทวราชา ครุฑจึงมีฐานะสัญลักษณ์แห่งพระนารายณ์ จึงถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระมหากษัตริย์แห่งอยุธยา ซึ่งปรากฏในรูปเชิงสัญลักษณ์ต่างๆ เช่น ในพระราชลัญจกร ธง และโขนเรือพระที่นั่งรูปครุฑ
นอกจากนี้พญานาค ตามคติของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูปรากฏในคัมภีร์ปุราณะต่างๆ หลายคัมภีร์ เช่น คัมภีร์ภาควัตปุราณะและคัมภีร์วิษณุปุราณะ ได้กล่าวถึงเรื่องราวของพญานาคไว้ว่า เป็นผู้เป็นใหญ่เหนือบาดาล ทั้งเป็นบัลลังก์ที่บรรทมของพระนารายณ์ในระหว่างการสร้างโลก อีกทั้งเป็นบัลลังก์ที่ประทับของพระนารายณ์กลางทะเลน้ำนม หรือเกษียรสมุทร
นอกจากครุฑและนาคที่เป็นสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ในริ้วขบวนเรือ ก็ยังมีเรือพระราชพิธีลำอื่นๆ ที่จะทำหน้าที่เป็นเรือพิธีคู่ชัก หรือเรือสำหรับจูงเรือพระที่นั่ง จะมีการแกะสลักโขนเรือรูปสัตว์ที่ไม่ใช่พาหนะสำหรับเทพเจ้า อย่างเช่น ตัวละครในรามายณะ ได้แก่ ลิง อันเป็นองครักษ์และช่วยงานราชการให้กับพระรามผู้เป็นอวตารของพระนารายณ์ตามมหากาพย์รามยณะ ซึ่งบุคคลที่นั่งอยู่บนเรือดังกล่าวคือข้าราชการและข้าราชบริพารระดับสูง เป็นการส่งสถานะของความเป็นเทพเจ้าอวตาร
หากวิเคราะห์แล้ว เรือพระราชพิธีเป็นการแสดงออกทางอำนาจโดยใช้สัญญะจากแนวคิดพราหมณ์-ฮินดูจากอินเดียอย่างชัดเจน
เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9
ภาพ: พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี
เรือกระบี่ปราบเมืองมารและเรือกระบี่ราญรอนราพณ์
ภาพ: พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี
ในอีกด้านหนึ่ง ประเพณีการทอดกฐินเป็นศัพท์ในพระวินัยปิฎกเถรวาท เป็นชื่อเรียกผ้าไตรจีวรที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาครบ 3 เดือนแล้วสามารถรับมานุ่งห่มได้ นับเป็นประเพณีที่สำคัญของพุทธศาสนิกชนอย่างหนึ่ง นิยมทำกันตั้งแต่วันแรมค่ำเดือนสิบเอ็ดไปจนถึงกลางเดือนสิบสอง ซึ่งมีความเกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับแนวคิดพุทธราชาตามพุทธปรัชญาเถรวาท ผู้ปกครองแบบธรรมราชาต้องเป็นผู้มีคุณธรรมประจำตัวและมีหน้าที่ทางศีลธรรมต่อสังคม ปกครองบ้านเมืองโดยหลักธรรมาธิปไตย และมีเป้าหมายเพื่อให้ทุกคนเป็นคนดี มีความสุข ในธรรมรัฐ พระพุทธศาสนาเป็นหลักในการปกครองการบริหารที่อำนวยประโยชน์ให้แก่ราษฎรในรัฐ เรียกว่า ‘ทศพิธราชธรรม’
พระมหากษัตริย์ไทยทรงอุทิศพระองค์เพื่อพระพุทธศาสนา มีหลักธรรมเป็นหลักในการบริหารชาติบ้านเมืองประหนึ่งว่าเป็นธรรมนูญการปกครองชาติไทย ศาสนาพุทธจึงกลายเป็นสื่อกลาง การสนับสนุนศาสนาพุทธด้วยวิธีนี้นอกจากเป็นการยืนยันความเป็นธรรมราชาแล้ว ก็ยังเป็นสามารถใกล้ชิดกับประชาชนมากขึ้น โดยการใช้ประเพณีทอดกฐินเป็นสิ่งตอกย้ำของการเป็นธรรมราชา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี
เสด็จฯ ไปในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน
ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามและวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2566
ภาพ: สำนักพระราชวัง
โดยสรุปแล้ว งานเรือพระราชพิธีสะท้อนแนวคิดพุทธและพราหมณ์ สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนและพระมหากษัตริย์ที่แตกต่างกัน โดยที่ฮินดูจะเน้นถึงความยิ่งใหญ่ของผู้นำ เปรียบดั่งเทพเจ้าจากการที่เราได้เห็นริ้วขบวนเรือ ในขณะที่ศาสนาพุทธที่ได้ยกตัวอย่างข้างต้น มีหลักการปกครองที่ชัดเจนและมีความใกล้ชิดกับประชาชนมากกว่าที่จะแบ่งแยกมนุษย์ออกจากส่วนของผู้ปกครอง ตัวอย่างเช่น ฮินดูจะมีชนชั้นพราหมณ์ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการสื่อสารกับเทพเจ้า หรือเทวสถานที่ถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่ศักดิ์สำหรับแค่กลุ่มผู้ปกครองเท่านั้น
ส่วนพุทธศาสนาเปิดพื้นที่ให้กับทุกชนชั้นในการเข้ามามีส่วนร่วม เรียกได้ว่าเป็นศาสนาของมวลชน จะมีการอุปถัมภ์พุทธศาสนาจากทุกชนชั้นไม่ว่าจะเป็นพระมหากษัตริย์ ขุนนาง หรือแม้กระทั่งพ่อค้า ศาสนาพุทธจึงได้รับความนิยมและเข้าถึงทุกภาคส่วน ซึ่งแตกต่างจากศาสนาฮินดูที่ถูกจำกัดเฉพาะแค่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
ส่วนภาพลักษณ์ของพระมหากษัตริย์จะใช้แนวคิดเทวราชาแสดงสถานะทางสังคมมากกว่า รัฐโบราณเหล่านี้ส่งอิทธิพลต่อการปกครองของรัฐโบราณ โดยเฉพาะที่ยังปรากฏหลักฐานเชิงประจักษ์อยู่ในพิธีกรรมของประเทศไทยในปัจจุบัน
อ้างอิง:
- Hall, K. R. 1984. Small Asian Nations in the Shadow of the Large: Early Asian History through the Eyes of Southeast Asia.Journal of The Economic and Social History of The Orient
- Coedès, G., Cowing, S. B., & Vella, W. F.1996. The Indianized States of Southeast Asia.
- Wolters, O. W. 2005. History, culture, and region in Southeast Asian perspectives. ACLS History E-Book Project.
- ศานติ ภักดีคำ. 2562.พระเสด็จโดยแดนชล เรือพระราชพิธีและขบวนพยุหยาตราทางชลมารค. สำนักพิมพ์: มติชน
- กชภพ กรเพชรรัตน์.2565.คติความเชื่อแบบอินเดียโบราณกับอำนาจของผู้นำในรัฐไทยในยุคร่วมสมัย Indic ideology and expression of the power in contemporary Thailand.เอเชียปริทัศย์.ปีที่43.ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม)