×

บล.บัวหลวง หั่นเป้า SET Index ปีนี้ลง 110 จุด จ่อหั่น EPS ลง 3-4% หลังกำไร บจ. 4Q65 ต่ำคาด จับตาผลเลือกตั้ง คาดได้ ‘รัฐบาลผสม’

08.03.2023
  • LOADING...

บล.บัวหลวง หั่นเป้า SET Index ปีนี้ลง 110 จุด จ่อหั่น EPS ลง 3-4% หลังกำไร บจ. 4Q65 ต่ำคาด จับตาผลเลือกตั้ง คาดได้ ‘รัฐบาลผสม’

 

ผิดหวังกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) 4Q65 เป็นเหตุ บล.บัวหลวง ปรับลดเป้าหมาย SET Index ปีนี้ลง 110 จุด เหลือ 1,720 จุด จากเดิมทำไว้ 1,830 จุด และเล็งหั่นกำไรต่อหุ้น (EPS) ของ บจ. ในปีนี้ลดลงประมาณ 3-4% แนะจับตาการเลือกตั้งเดือนพฤษภาคมนี้ คาดได้ ‘รัฐบาลผสม’


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการสายงานค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยฯ ได้ปรับลดเป้าหมาย SET Index ในปีนี้ลงเหลือ 1,720 จุด จากเดิมทำนายไว้ 1,830 จุด หรือลดลงจากเดิม 110 จุด รวมทั้งมีโอกาสที่ปรับลดคาดการณ์ EPS ของ บจ. ในปีนี้ลดลงตามด้วย เบื้องต้นคาดว่าจะลดลงประมาณ 3-4% จากเดิมที่เคยประเมินไว้ที่ 98 บาทต่อหุ้น เนื่องจากกำไรของ บจ. ใน 4Q65 ที่ออกมาต่ำกว่าที่ประเมินไว้ค่อนข้างมาก

 

“หลังตัวเลขกำไรของ บจ. ใน 4Q65 ออกมาต่ำกว่าที่ประเมินไว้มาก รวมถึงนักวิเคราะห์ของเราไป Analyst Meeting ได้พบผู้บริหาร บจ. หลายๆ แห่งได้ให้ข้อมูล Guidance ในปีนี้เริ่มมีการ Cut ตัวเลขของ Guidance ที่เคยทำไว้ลงมาแล้วด้วย” ชัยพรกล่าว

 

ชี้หากได้ ‘รัฐบาลพรรคเดียว’ หนุนหุ้นไทยไปต่อ 

นอกจากนี้ในระยะสั้นยังมีปัจจัยที่มีความท้าทายตลาดหุ้นไทยเข้ามาเพิ่มเติมนอกเหนือจากปัจจัยนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) และปัญหาสงครามรัสเซียกับยูเครน คือปัจจัยการเลือกตั้งในประเทศ 

 

โดยจากสถานการณ์ปัจจุบันประเมินว่า มีความเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนพฤษภาคมนี้จะเป็นรัฐบาลผสมที่มาจากพรรคร่วมหลายพรรค มากกว่าจะเป็นรัฐบาลพรรคเดียว หรือ ‘แลนด์สไลด์’ ที่มีความเป็นไปได้น้อยกว่า 

 

ทั้งนี้ โดยปกติหากผลการเลือกตั้งออกมา ในกรณีที่สามารถจัดรัฐบาลแบบพรรคเดียวมีโอกาสที่ตลาดหุ้นจะตอบรับเชิงบวกมากกว่าในกรณีรัฐบาลแบบผสม เนื่องจากนักลงทุนมองว่ารัฐบาลจะมีเสถียรภาพมากกว่า

 

สำหรับปัจจัยการเมืองยังคงต้องติดตามต่อ โดยนักลงทุนจะรอดูรายชื่อพรรคร่วมที่จะมาร่วมตั้งรัฐบาลชุดใหม่ รวมถึงนโยบายด้านเศรษฐกิจซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน

 

ลุ้นครึ่งปีหลัง ‘หุ้นไทย’ ดีดรับท่องเที่ยวฟื้นแกร่ง

อย่างไรก็ดี ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้คาดว่าตลาดหุ้นจะมีปัจจัยบวกจากการท่องเที่ยวที่มีโอกาสฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจนเข้ามาหนุน หลังจากที่จีนเปิดประเทศ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวชาวจีนสามารถเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยได้สะดวกขึ้น ส่งผลให้ในปีนี้มีโอกาสที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเดินทางมาไทยเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 22 ล้านคนมาเป็น 25-28 ล้านคน หรือเพิ่มจากปีก่อน 11 ล้านคน ซึ่งจะมาช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจของไทยกลับมาคึกคัก โดยเฉพาะในช่วงไฮซีซันของการท่องเที่ยว ตั้งแต่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่จะมีกรุ๊ปทัวร์จีนจองเดินทางเข้ามาจำนวนมาก โดยจะมาช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยและการจ้างงาน รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องให้ได้รับประโยชน์ในวงกว้าง

 

สำหรับปัจจัยดอกเบี้ยของ Fed นั้น คณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) คาดว่าการขึ้นดอกเบี้ยจะสิ้นสุดในปีนี้ หลังเริ่มเห็นสัญญาณตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ หลายๆ ตัวเริ่มชะลอตัวลงชัดเจน ซึ่งมีเพียงตัวเลขจ้างงานของสหรัฐฯ ตัวเดียวเท่านั้นที่ออกมาดี อีกทั้งปัญหาเงินเฟ้อเริ่มมีแนวโน้มชะลอลง หลังจากปัจจัยที่เคยกดดันให้เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นเริ่มเข้าสู่สถานการณ์ปกติ ทั้งค่าระวางเรือ ต้นทุนค่าขนส่งสินค้า และราคาน้ำมันดิบที่ในปีนี้คาดว่าจะอยู่ในกรอบระหว่าง 70-100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล 

 

ขณะเดียวกันฝ่ายวิจัย บล.บัวหลวง คาดว่ามีโอกาสที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมีนาคมนี้เป็นครั้งสุดท้ายมาอยู่ที่ระดับ 5.25% ส่งผลให้เริ่มเห็นแรงขายของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยเริ่มชะลอ อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามความชัดเจนการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยของ Fed ต่อไป

 

ตั้งเป้าลูกค้าใหม่ 40,000 ราย

ด้านพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ปีนี้ตั้งเป้าหมายมีลูกค้าเปิดบัญชีใหม่ประมาณ 30,000-40,000 ราย เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่บริษัทมีกลุ่มลูกค้าบุคคลประมาณ 6.4 แสนราย

 

กลยุทธ์การดำเนินงานของหน่วยงานกิจการค้าหลักทรัพย์ในปีนี้ บริษัทจะเน้นใน 3 เรื่องหลัก ได้แก่ 1. การสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า 2. การสร้างความรู้ด้านการลงทุนที่ถูกต้อง ผ่านการจัดกิจกรรมให้ข้อมูลด้านการลงทุนในเชิงลึกและการให้ความรู้กับลูกค้าทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ 3. การพัฒนานวัตกรรมและบริการด้านการลงทุนใหม่ๆ

 

ขณะที่ปัจจุบันอุตสาหกรรมโบรกเกอร์ไทยมีผู้เปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ราว 3.4 ล้านบัญชี หรือคิดเป็น 2.4 ล้านราย ซึ่งในส่วนของบริษัทมีอัตราการเติบโตของลูกค้าใหม่ 20-30% ต่อปี โดยในปี 2565 บริษัทมีมาร์เก็ตแชร์ประมาณ 4.72% และมีส่วนแบ่งรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์อยู่ในสัดส่วนสูงถึง 10.58% ขณะที่มีอัตราค่าคอมมิชชันเฉลี่ยอยู่ที่ราว 0.14% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอยู่ที่ 0.08% เนื่องจากกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจยังเน้นการให้บริการแบบครบวงจร

 

“ภาวะการแข่งขันในธุรกิจหลักทรัพย์น่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเข้ามาของบริษัทหลักทรัพย์รายใหม่ ส่วนกรณีที่มีการใช้กลยุทธ์ค่าคอมมิชชัน 0% ในอดีตก็เคยเกิดสถานการณ์แบบนี้มาแล้ว ผมในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทยก็ได้สอบถามไปยังฝั่งโบรกเกอร์ที่ใช้กลยุทธ์ค่าคอมมิชชัน 0% ว่ารายได้จะมาจากไหน เขาก็ตอบว่าจะมีรายได้จากธุรกิจอื่นๆ ส่วน บล.บัวหลวงยังเน้นกลยุทธ์การให้บริการแบบครบวงจร ซึ่งทำให้การทำธุรกิจมีความยั่งยืน” พิเชษฐกล่าว

 

มองวอลุ่มตลาดปีนี้ ‘หดตัว’

สำหรับแนวโน้มภาพรวมอุตสาหกรรมปีนี้คาดว่าวอลุ่มการซื้อขายโดยรวมน่าจะปรับตัวลดลงจากปีก่อน เนื่องจากปัจจัยกดดันจากความวิตกกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยของโลก และการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ รวมถึงการที่นักธุรกิจกลับไปทำงานกันตามปกติมากขึ้นหลังจากผ่านพ้นช่วงการแพร่ระบาดของโควิด ทำให้มีการซื้อขายหุ้นลดลง และจะส่งผลให้รายได้ของโบรกเกอร์โดยรวมน่าจะลดลงด้วย

 

อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่มีแผนเพิ่มสาขา แต่ยังคงสาขาเดิมไว้ที่ 27 สาขา เนื่องจากพฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนไป เข้าห้องค้าน้อยลง แต่การมีสาขาไว้เพื่อใช้เป็นจุด Contact Point มากกว่า และการมีสาขาเพื่อให้ลูกค้ามีความมั่นใจในบริการ แม้ว่าลูกค้าจะซื้อขายผ่านออนไลน์มากขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทจะนำ AI หรือเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเสริมงานบริการ 

 

ในส่วนของแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้จะต้องรอดูถึงช่วงสิ้นปีว่าจะออกมาเป็นอย่างไร เนื่องจากแม้บริษัทจะมีรายได้จากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ประมาณ 60% แต่ต้องดูรายได้ช่องทางอื่นๆ จะเข้ามาสามารถช่วยชดเชยได้หรือไม่ โดยในปี 2565 บริษัทมีรายได้รวม 3,934 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,138 ล้านบาท

 

ส่วนงานด้านวาณิชธนกิจปีนี้ บริษัทจะนำบริษัทจดทะเบียนอีก 3-4 บริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีทั้งเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ซึ่งกระจายอยู่ในอุตสาหกรรมอาหาร รถยนต์ และสุขภาพ โดยล่าสุดได้นำ บมจ.เมพ คอร์ปอเรชั่น (MEB) เข้าเทรดแล้วช่วงต้นปี 2566

  

ปัจจุบันรายได้จากธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์มีสัดส่วน 60%, ธุรกิจ IB มีสัดส่วน 10% และรายได้สินค้าใหม่ อาทิ DR สัดส่วน 10% และที่เหลือ 20% มาจากรายได้อื่น อาทิ ดอกเบี้ยรับ

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising