กรุงศรี พัฒนสิน ประเมินผลกระทบเหตุกราดยิงอาจกระทบจิตวิทยาเชิงลบต่อนักท่องเที่ยวจีนในระยะสั้น แต่เชื่อมีโอกาสกลับมาฟื้นช่วงปลายปี ส่วนผู้บริหาร CENTEL ระบุยังไม่มีนักท่องเที่ยวจีนยกเลิกจองโรงแรม แต่ยังต้องมอนิเตอร์สถานการณ์ต่อเนื่อง
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี พัฒนสิน กล่าวว่า เหตุการณ์ยิงในศูนย์การค้าสยามพารากอนเมื่อวันที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้จำนวน 2 ราย โดยเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน 1 ราย และชาวเมียนมา 1 รายนั้น
จากการศึกษาข้อมูลหากเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ในอดีตที่มีเหตุการณ์คล้ายกัน 2 เหตุการณ์ คือ 1. เหตุระเบิดขึ้น 9 จุดในพื้นที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2549 และ 2. เหตุการณ์เหตุระเบิดบริเวณศาลท้าวมหาพรหม เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2558 ประเมินว่าเหตุยิงที่เกิดขึ้นล่าสุดจะมีผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวน้อยกว่าในอดีต เพราะเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในวันเดียวกันที่มีปัญหา
อย่างไรก็ดี ยอมรับว่าจะมีผลกระทบด้านจิตวิทยาเชิงลบต่อภาคการท่องเที่ยวในระยะสั้น 1-2 เดือนของช่วงไตรมาส 4/66 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซันของการท่องเที่ยว โดยเฉพาะกับนักท่องเที่ยวชาวจีนซึ่งเดิมคาดว่าจะมาท่องเที่ยวในไทยในปีนี้ประมาณ 5 ล้านคน อีกทั้งแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยที่ควรฟื้นตัวได้นับจากไตรมาส 4/66 จากภาคท่องเที่ยวที่รัฐบาลเร่งกระตุ้นผ่านนโยบายฟรีวีซ่าจีนมีความเสี่ยงสะดุด แต่คาดว่ามีโอกาสที่ทยอยฟื้นตัวกลับมาดีขึ้นในช่วงปลายปีนี้
สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะมีผลกระทบด้านจิตวิทยาเชิงลบกรณีที่นักท่องเที่ยวชาวจีนอาจชะลอการเดินทางมาไทยในระยะสั้น มีหุ้นดังนี้ บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป หรือ ERW ซึ่งมีสัดส่วนลูกค้าเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติประมาณ 90% ของลูกค้าทั้งหมด แต่หากเป็นแยกเป็นกลุ่มชาวจีน มีสัดส่วน 14% ของลูกค้าทั้งหมด และ บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา หรือ CENTEL ซึ่งมีสัดส่วนลูกค้าเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติประมาณ 48% ของลูกค้าทั้งหมด แต่หากเป็นแยกเป็นกลุ่มชาวจีนมีสัดส่วน 4% ของลูกค้าทั้งหมด
รวมถึง บมจ.อาฟเตอร์ ยู หรือ AU ซึ่งมีสัดส่วนลูกค้าเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติประมาณ 30% ของลูกค้าทั้งหมด แต่หากเป็นแยกเป็นกลุ่มชาวจีนมีสัดส่วน 12% และ บมจ.สยามเวลเนสกรุ๊ป หรือ SPA ซึ่งมีสัดส่วนลูกค้าเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติประมาณ 60% ของลูกค้าทั้งหมด แต่หากเป็นแยกเป็นกลุ่มชาวจีนมีสัดส่วน 25-30% อีกทั้งมี บมจ.ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง หรือ SNNP ที่มีสัดส่วนรายได้ประมาณ 5% จากจีน
ขณะที่ด้วยมุมมองว่าผลกระทบที่จะเกิดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้จะมีผลกระทบที่น้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ความรุนแรงที่เคยเกิดขึ้น 2 ครั้งก่อนหน้านี้ และมองว่าเป็นผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในระยะสั้น ดังนั้นในช่วงที่ราคาหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวที่ย่อตัวจึงเป็นโอกาสทยอยเข้าสะสม
โดยยังคงมุมมองเป็น Bullish ในหุ้นกลุ่มโรงแรม โดยให้ ERW เป็นหุ้น Top Pick ให้ราคาเป้าหมายที่ 6.60 บาท ซึ่งคาดว่าแนวโน้มกำไรมีโอกาสจะฟื้นตัวในอัตราเร่งได้ตั้งแต่ไตรมาส 3/66 ต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 1/67 เมื่อเปรียบเทียบกับทั้งไตรมาสก่อนและช่วงเดียวกันของปีก่อนด้วย ส่งผลให้กำไรทั้งปี 2566 กลับมีมาสัดส่วนประมาณ 60% ของปีก่อนช่วงที่จะเกิดโควิดระบาด
อีกทั้งแนะนำหุ้น AOT เป็น Top Pick ที่จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากการท่องเที่ยวที่กำลังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ให้ราคาเป้าหมายที่ 85.25 บาท
CENTEL ยังต้องมอนิเตอร์สถานการณ์ต่อ
กันย์ ศรีสมพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน และรองประธานฝ่ายการเงินและบริหาร บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา หรือ CENTEL ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH ว่า สถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการตรวจสอบข้อมูลล่าสุดของยอดการจองโรงแรมของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและนักท่องเที่ยวชาวจีน ขณะยังไม่ได้มีการแจ้งยกเลิการจองที่พัก แต่ยอมรับว่าบริษัทยังคงต้องมอนิเตอร์ติดตามสถานการณ์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
สำหรับกลุ่มโรงแรมของบริษัทในประเทศไทยในช่วงปี 2562 ก่อนมีโควิดระบาด มีสัดส่วนนักท่องเที่ยวชาวจีนประมาณ 12% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด ซึ่งหลังจากโควิดแพร่ระบาดนักท่องเที่ยวก็หายไปตามนโยบายการล็อกดาวน์ ซึ่งนักท่องเที่ยวจีนเริ่มทยอยฟื้นตัวกลับเข้ามาหลังจากจีนเริ่มมีนโยบายเปิดประเทศในช่วงต้นปี 2566 ที่ผ่านมา
“เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิด ซึ่งภาพรวมการสื่อสาร คงต้องฝากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ช่วยสื่อสารกับเรียกความเชื่อมั่นนักเที่ยวต่างชาติที่จะมาไทยทั้งหมดด้วย”
ขณะที่รายได้รวมของ CENTEL ทั้งปี 2566 ยังคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 2.58 หมื่นล้านบาท มาจากธุรกิจอาหารประมาณ 55-60% ส่วนที่เหลือมาจากธุรกิจโรงแรม โดยรายได้รวมในปีนี้มีทิศทางการเติบโตที่ดีขึ้นจากปีก่อน และยังมากกว่าในปี 2562 ที่มีรายได้ประมาณ 2.08 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นปีที่ยังไม่มีโควิดระบาดด้วย เนื่องจากในปีนี้ภาพรวมทั้งธุรกิจอาหารและโรงแรมสามารถฟื้นตัวได้ดีตามการท่องเที่ยวที่กลับมาขยายตัว
ส่วนแผนและเป้าหมายธุรกิจของ CENTEL ในปี 2567 บริษัทอยู่ระหว่างการจัดทำ คาดว่าจะทำแล้วเสร็จสามารถนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน