เมื่อความสามารถแข็งแกร่งไม่แพ้ผู้ใด แถมยังมีความซื่อสัตย์ในระดับที่ผู้นำทุกคนปรารถนา ยังมีสิ่งใดอีกเล่าทำให้ บริแอนน์แห่งทาร์ธ ที่คุณสมบัติพร้อมทุกอย่างไม่ได้รับการ ‘ยอมรับ’ เท่าเทียมอย่างที่อัศวินชาตรีได้รับ เพียงเพราะเพศสภาพความเป็น ‘หญิง’ ที่เธอไม่มีสิทธิ์เลือกเท่านั้นเองหรือ
เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ไม่อยากยอมรับ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำตอบที่ปรากฏในซีรีส์ Game of Thrones เป็นเช่นนั้นจริงๆ
หากคิดตามชาติกำเนิด บริแอนน์ควรได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในฐานะลูกสาวเพียงคนเดียวของลอร์ดเซลวิน ผู้นำแห่งตระกูลทาร์ธ แต่เพียงเพราะเธอมีรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าตกกระ นิสัยห้าวหาญ ไม่ใกล้เคียงกับนิยามความงามเช่น ‘เจ้าหญิง’ องค์อื่นๆ
ในวัยเด็กเธอเคยคิดแต่งตัวให้สวยสมฐานะ แต่ก็ยังไม่พ้นคำดูถูกล้อเลียน ถูกตั้งฉายาอย่างประชดประชันว่า บริแอนน์ผู้เลอโฉม (Brienne the Beauty) แม้กระทั่งวันที่เธอมีผู้ชายหลายคนมาทำดีด้วย เธอดีใจอยู่ได้ไม่นาน ก่อนพบความจริงว่า หากพวกเขาไม่ทำดีเพราะหวังผลประโยชน์ทางการเมือง ‘พรหมจรรย์’ ของเธอก็มีค่าเพียง ‘เกม’ พนันขันต่อเพื่อชิงรางวัลในหมู่ชายชาติทหารเท่านั้น
เธอทิ้งชีวิตแสนสบายในฐานะ ‘เลดี้’ ที่ต้องออกเรือนแต่งงานแล้วทำได้เพียงติดตามสามีไปชั่วชีวิต ออกเดินทางเพื่อแสวงหา ‘พื้นที่’ ยืนยันตัวตนและการมีชีวิตอยู่ของเธอในฐานะ ‘นักรบ’ คนหนึ่ง โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องเพศ ที่เธอไม่มีสิทธิ์เลือกมาเป็นตัวขวางกั้น กระทั่ง เรนลีย์ บาราเธียน มอบสิ่งนั้นให้กับเธอ เขายอมรับและแต่งตั้งให้เธอเป็นราชองครักษ์ ที่แต่เดิมมีเพียงนักรบชายเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่งนี้ได้
ถึงแม้จะรู้ว่าเรนลีย์ไม่ได้มีความสนใจในตัวผู้หญิง แต่เรื่องเพศจะมีความสำคัญอะไร ในเมื่อเขาลบเส้นแบ่งระหว่างหญิงชายในจารีตประเพณีให้ เธอเองก็พร้อมที่จะรักและมอบทั้งชีวิตปกป้องเขา เพื่อตอบแทนความไว้ใจและ ‘การยอมรับ’ ที่เธอไม่เคยได้รับมาก่อนเช่นกัน
แต่ความภูมิใจนั้นก็อยู่กับเธอไม่นาน เมื่อเรนลีย์ถูกเงาดำจาก ‘แม่มดแดง’ ผู้รับใช้ของ สแตนนิส บาราเธียน สังหาร โดยที่บริแอนน์ไม่อาจกวัดแกว่งดาบเพื่อปกป้องเขาได้แม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่เธอทำได้มีเพียงแค่กอดประคองร่างของเขาเอาไว้ พร้อมกับลมหายใจสุดท้ายที่ค่อยๆ หมดไปโดยไม่ทันร่ำลา
โลกของบริแอนน์แหลกสลายลงไปในวินาทีนั้น เธอเรียนรู้ว่าไม่มีสิ่งใดน่ารังเกียจและเจ็บปวดไปกว่าการปกป้องคนที่ตัวเองรักไม่ได้ ถึงขนาดคิดจะตายตามนายเหนือหัวไปด้วย แต่ เคทลิน สตาร์ก ห้ามเอาไว้ และบอกว่า ถ้าตายไปแล้วโอกาสที่จะแก้แค้นสแตนนิสจะหมดลงไปทันที เพื่อรอโอกาสแก้แค้นมาถึง บริแอนน์ตัดสินใจ ‘สาบาน’ ตนรับใช้เคทลิน ‘เลดี้’ ที่เธอคิดว่ามีหัวใจที่ ‘แข็งแกร่ง’ ไม่แพ้ผู้ชายคนใด
จากคำสั่งแรกที่เธอต้องพา เจมี แลนนิสเตอร์ ไปแลกตัวประกันกับลูกสาวทั้ง 2 คนของเคทลิน ก็ทำให้ชีวิตของเธอต้องเผชิญกับความลำบากในแบบที่ผู้ชายอกสามศอกหลายคนไม่มีทางจินตนาการได้ เธอถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส เกือบถูกข่มขืน ต้องต่อสู้กับหมีโดยมีเพียงดาบไม้เป็นเครื่องป้องกันตัว แต่จิตใจที่เข้มแข็งและความภักดีอย่างสูงสุด ทำให้แม้กระทั่งเจมีที่เคยเป็นศัตรูทะเลาะกันมาตลอดทางยังยอมรับ ถึงขนาดยอมเสี่ยงชีวิตช่วยปกป้องเธอจนเขาต้องเสียมือข้างหนึ่งไป
เมื่อกลับมาถึงคิงส์แลนดิ้ง เจมีบอกให้บริแอนน์เดินทางไปปกป้องซานซาพร้อมกับมอบดาบวาเลเรียนที่หลอมขึ้นใหม่จากดาบ Ice ของ เน็ด สตาร์ก ให้บริแอนน์ โดยให้เหตุผลว่าดาบเหมาะสำหรับคนที่รักษาคำสาบานว่าจะปกป้องลูกสาวของตระกูลสตาร์ก แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่เขาไม่ได้บอก อาจเป็นเพราะเจมีคือคนที่ถูกตราหน้ามาตลอดว่าเป็นคนทรยศที่แทงกษัตริย์คลั่งจากด้านหลัง ถึงแม้เขาทำเพราะความจำเป็น แต่เหตุการณ์นั้นก็เป็นตราบาปที่อัศวินผู้หยิ่งผยองอย่างเขาไม่อาจลบไปจากความทรงจำ
อย่างน้อยการมอบดาบเพื่อให้บริแอนน์ผู้ซื่อสัตย์นำไปรักษาคำสาบาน น่าจะช่วยเยียวยาบาดแผลในใจของเขาได้บ้าง และบริแอนน์ได้ตั้งชื่อดาบนั้นว่า ‘ผู้รักษาคำสาบาน’ (Oathkeeper)
ล่าสุดใน Game of Thrones ซีซัน 8 เอพิโสด 2 เมื่อเหล่านักรบชายชาตรีมารวมตัวร่ำสุราเพื่อบรรเทาความหนาวหน้าเตาผิง พลางพูดคุย หยอกล้อ ทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา เพื่อเตรียมรับมือความตายที่อาจมาเยือนเมื่อสงครามครั้งใหญ่กับเหล่าไวต์วอล์กเกอร์มาถึง เรื่องราวของนักรบหญิงเพียงหนึ่งเดียวก็ถูกยกขึ้นมาเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญ
“ท่านไม่ใช่อัศวินเหรอ” ทอร์มุนด์ นักรบคนเถื่อนที่แอบชอบและหลงใหลในความสามารถบริแอนน์มาตลอดเอ่ยถามด้วยความสงสัย ตามประสาคนที่ไม่เคยสนใจจารีตประเพณีและยศศักดิ์ในรั้วในวัง
“สตรีเป็นอัศวินไม่ได้” เมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตอาจเดินทางมาถึง บริแอนน์ทำได้เพียงเอ่ยยอมรับในฐานะของตัวเองทั้งที่พยายามปฏิเสธมาโดยตลอด
“ข้าไม่ใช่พระราชา แต่หากข้าเป็น ข้าจะแต่งตั้งท่านเป็นอัศวิน 10 ครั้ง” ไม่ใช่แค่ประโยคเกี้ยวพาราสี เพราะสำหรับคนเถื่อนที่ใช้เพียงความสามารถและความจริงใจ
บริแอนน์เหมาะสมกับทุกตำแหน่งและเกียรติยศมากกว่าใครในที่นี้ด้วยซ้ำ
แม้แต่ เจมี แลนนิสเตอร์ ที่เติบโตมากับจารีตประเพณีตั้งแต่เกิด ยังยอมรับในความสามารถและความซื่อสัตย์ของบริแอนน์อย่างไม่มีข้อสงสัย “ในนามแห่งนักรบ ข้าขอสั่งให้ท่านกล้าหาญ ในนามแห่งบิดา ข้าขอสั่งให้ท่านยุติธรรม ในนามแห่งมารดา ข้าขอให้สั่งให้ท่านปกป้องผู้บริสุทธิ์ ‘เซอร์’ บริแอนน์ออฟทาร์ธ ‘อัศวิน’ แห่งเจ็ดอาณาจักร”
ทันทีที่ประโยคแต่งตั้งของเจมีสิ้นสุด พร้อมกับเสียงปรบมือจากเหล่า ‘นักรบ’ ชายชาตรีที่พร้อมเสี่ยงชีวิตเพื่ออาณาจักร
รอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจที่เราแทบไม่เห็นตลอดทั้งเรื่องก็ได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง หลังดำรงตนด้วยความซื่อสัตย์และผ่านการต่อสู้ที่แสนยาวนาน
เตาผิงที่เงียบสงบและเหล้าองุ่นราคาถูก เป็นเสมือนพยานที่ช่วยยืนยันว่า ณ สถานที่แห่งนั้น ไม่มีการแบ่งแยกด้วยคำว่า ‘ชาย’ หรือ ‘หญิง’ ทุกคนในที่นี้อาจแตกต่างกันด้วยรูปพรรณสัณฐาน ชาติกำเนิด แต่มารวมตัวกันเพื่อต่อสู้สงคราม และผ่านฤดูหนาวอันแสนยาวนานนี้ไปด้วยกัน
ในฐานะ ‘อัศวิน’ ที่เท่าเทียมกันทุกคน
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า