เมื่อวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา มีการประชุมผู้บริหารหน่วยงานภาคีด้านการปกครอง สาธารณสุข และสังคม ภายใต้แผนงาน ‘รวมพลังพลเมืองตื่นรู้ ช่วยชาติสู้ภัยโควิด-19’ จัดขึ้นที่อาคารสุขภาพแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข โดยมี นพ.สำเริง แหยงกระโทก ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข, นพ.ปรีชา เปรมปรี รองอธิบดีกรมควบคุมโรค และบุคลากรที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้
ซึ่งแผนงานดังกล่าวเป็นความร่วมมือของ 26 หน่วยงาน โดยมีสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เป็นผู้ประสานงานหลัก เริ่มดำเนินการกันตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาเพื่อรับมือการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยใช้พื้นที่ระดับตำบลและหมู่บ้านเป็นตัวตั้ง รวมทั้งระดมกำลังสนับสนุนจากภาคีอื่นๆ
ในช่วงหนึ่งของการประชุม นพ.สำเริง กล่าวว่า “ไทยเป็นอันดับหนึ่งของโลกในการป้องกันโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่โควิด-19 ยังต้องอยู่คู่กับโลกอีกนาน ดังนั้นการประชุมครั้งนี้นอกจากเป็นการสรุปการทำงานที่ผ่านมาแล้ว ยังเป็นการหารือเพื่อหาทางเดินต่อไปข้างหน้า เตรียมการรองรับวิกฤตเศรษฐกิจ หรือแม้แต่การแพร่ระบาดระลอกใหม่”
นอกจากนี้ นพ.สำเริง กล่าวเพิ่มเติมว่าการตระหนักและการตื่นรู้ของประชาชนที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งดี แต่บางกรณีก็เกิดอาการตื่นตระหนกมากเกินไป ดังนั้นสิ่งที่ต้องเตรียมรับมือแทนการตื่นตระหนกคือการคัดกรองที่เข้มข้น โดยเฉพาะตามด่านชายแดน เพราะขณะนี้สถานการณ์ในเมียนมากำลังมีการระบาดระลอกสอง ขณะที่ประชาชนตามแนวชายแดนมีการข้ามพรมแดนธรรมชาติกันเป็นปกติ หน่วยงานสาธารณสุขต้องเตรียมพร้อมสำหรับการจู่โจมเคสใหม่แล้วควบคุมไม่ให้แพร่กระจาย หากเกิดการแพร่ระบาดก็เตรียมระบบรองรับให้เพียงพอ ที่สำคัญคือการสนับสนุนความร่วมมือในแนวราบของภาครัฐในพื้นที่และภาคประชาสังคม ซึ่งเป็นจุดแข็งที่ทั่วโลกต่างชื่นชมประเทศไทย
ทางด้าน นพ.ปรีชา เปรมปรี รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่าหากมองในภาพรวม มาตรการทางเศรษฐกิจกำลังจะต้องคลายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ และเราอาจต้องเตรียมรับมือกับการระบาดครั้งใหม่ เช่น เร็วๆ นี้น่าจะมีการนำแรงงานจากกัมพูชาเข้ามาในประเทศราว 30,000 คน ซึ่งต้องสร้างพื้นที่กักกันตัว 14 วัน การเตรียมเปิดให้นักท่องเที่ยวที่ประสงค์จะอยู่ระยะยาวเดินทางเข้ามาในสองพื้นที่คือเกาะสมุยและภูเก็ต การอนุญาตให้ผู้ป่วยต่างประเทศเข้ารับการรักษาในไทย การนำคนไทยในต่างประเทศที่ลงทะเบียนไว้จำนวนหลักหมื่นคนกลับบ้าน ดังนั้นทั้งพื้นที่กักกันโรคของรัฐ (State Quarantine) พื้นที่กักกันโรคระดับท้องถิ่น (Local Quarantine) จะต้องทำอย่างเข้มข้นและเข้มแข็งมากขึ้น
“จังหวัดมีบทบาทสำคัญ ผู้ว่าราชการจังหวัดที่เป็นประธานคณะกรรมการโรคติดต่อต้องวางแผนทำพื้นที่กักกันและมีระบบการติดตามด้วย จะทำให้ขยับขยายรองรับคนที่จะเข้ามาได้มากขึ้น เพราะเราต้องค่อยๆ เปิดประเทศเพื่อพยุงเศรษฐกิจ ต่อไปด่านใหญ่ๆ จะสามารถตรวจเชื้อเร่งด่วน (Rapid Test) ได้ ห้องแล็บก็มีให้บริการครอบคลุมทุกจังหวัดแล้ว มีการเชื่อมโยงระหว่างทีมสอบสวนและทีม อสม. อย่างดีในทุกพื้นที่” นพ.ปรีชากล่าว
ทางด้าน นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่าในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ มีการเตรียมจัดงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 13 ในวันที่ 16-17 ธันวาคมนี้ ภายใต้ธีม ‘พลเมืองตื่นรู้สู้วิกฤตสุขภาพ’ ซึ่งจะมีสัปดาห์สุขภาพแห่งชาติในวันที่ 8-14 ธันวาคม ที่สำคัญสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติกำลังร่วมมือกับเครือข่ายในพื้นที่จัดสมัชชาสุขภาพระดับจังหวัดทุกจังหวัด โดยให้ภาคส่วนต่างๆ ในพื้นที่มีโอกาสเจอกัน นำประเด็นของพวกเขามาพูดคุยเพื่อหาข้อตกลงร่วม เชื่อว่าฉันทามติที่ได้จะช่วยเสริมแผนจังหวัดให้แก้ปัญหาต่างๆ ในพื้นที่ได้ดียิ่งขึ้น
“เท่าที่ฟังในแต่ละจังหวัด ซึ่งมีการจัดเวทีถอดบทเรียนโควิด-19 ไปเมื่อเดือนสิงหาคม หลายพื้นที่คาดการณ์ว่ารัฐจะค่อยๆ เปิดประเทศในเดือนกันยายน ซึ่งเป็นแนวทางในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยในเดือนตุลาคมอาจจะมีปัญหาการแพร่ระบาด และมีความเป็นไปได้ที่จะโกลาหลกันในช่วงพฤศจิกายน หากเราเตรียมความพร้อมในการรับมือโดยการมีส่วนร่วม ทั้งพระ หอการค้า ท้องถิ่น และภาคประชาชน ฯลฯ จะได้มีความมั่นใจกับสถานการณ์ข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นการรับมือโควิด-19 ระลอกใหม่หรือปัญหาเศรษฐกิจ” นพ.ประทีปกล่าว
สุดท้าย นพ.สำเริง ย้ำว่าการจัดเวทีระดับจังหวัดเพื่อหารือแก้ไขปัญหาในระยะต่อไปนั้นจะช่วยภาครัฐได้มาก โดยใช้ประเด็นแต่ละพื้นที่เป็นตัวตั้ง ผสมกับข้อมูลที่ฝ่ายวิชาการของสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติได้จัดทำไว้แล้วบางส่วน เปิดเวทีให้กว้างที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และให้หน่วยงานภาคีในระดับพื้นที่เข้าไปมีส่วนร่วมพูดคุย มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานและมีประธานร่วมจากภาคประชาสังคมด้วย เรียกว่าเป็นเวทีระดมปัญญาเพื่อหาทางออกที่เหมาะสมกับพื้นที่นั้นๆ ร่วมกัน คาดว่าน่าจะสามารถจัดได้ก่อนจะมีการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติในเดือนธันวาคมปลายปีนี้
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์