“เราได้คุยกับเยาวชนชายไทย หรือจริงๆ คือกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ 20 คนที่อยู่ในวงการขายบริการทางเพศ และพบว่า มี 18 คนในกลุ่มนี้ต้องการที่จะเลิกทำอาชีพนี้ หากมีทางเลือกอื่นที่ช่วยแก้ปัญหาปากท้องของพวกเขาได้”
นี่เป็นส่วนสำคัญของงานวิจัยชิ้นใหม่ที่มีชื่อว่า ‘รายงานวิจัย การแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเด็กชาย รายงานประเทศไทย’ ถูกนำเสนอโดย ECPAT International โดยร่วมมือกับองค์กรที่มีส่วนร่วมสนับสนุนงานวิจัยคือ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) เปิดเผยผลวิจัยชิ้นนี้เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2564 ในรูปแบบออนไลน์ พร้อมเชิญหน่วยงานของรัฐในประเทศไทยหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับปัญหานี้เข้ารับฟัง เพื่อนำผลจากการวิจัยไปต่อยอด
มาร์ก คาเวนาจห์ หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ ECPAT นำเสนอบทสรุปของงานวิจัยที่ใช้เวลาศึกษากว่า 1 ปีครึ่ง ท่ามกลางความยากลำบาก เพราะมีสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 เข้ามา ทำให้การลงพื้นที่เป็นไปได้ยาก
ในงานวิจัยชิ้นนี้ได้สัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มผู้ให้บริการทางเพศที่เป็นเยาวชนชายในประเทศไทยซึ่งขายบริการทางเพศอยู่ที่กรุงเทพมหานครและเชียงใหม่รวม 20 คน อายุระหว่าง 15-24 ปี ซึ่งเรียกว่า ‘กลุ่มความหลากหลายทางเพศ SOGIE’ (SOGIE ย่อมาจาก ‘Sexual Orientation, Gender Identity and Expression’ (เพศวิถี, อัตลักษณ์ทางเพศ และการแสดงออก)) และได้ผลออกมาว่า เยาวชนที่ให้สัมภาษณ์เกินกว่าครึ่งเริ่มให้บริการแลกเปลี่ยนทางเพศกับสิ่งมีค่าครั้งแรกตั้งแต่ยังเป็นเด็ก โดยมีอายุน้อยที่สุดคือ 12 ปีเท่านั้น โดยการแลกเปลี่ยนทางเพศนั้นบางครั้งเพียงเพื่อต้องการที่พักพิง ต้องการความปลอดภัย หรือเงินเพียงเล็กน้อย เพราะเหตุผลที่สำคัญที่พวกเขาเข้ามาสู่วงการนี้คือ ปัญหาความยากจน ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว และการถูกเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของความแตกต่างของรสนิยมทางเพศ
“ผมรู้สึกค่อนข้างกลัว ผมนั่งอยู่ตรงนั้นในขณะที่ลูกค้าขับรถผ่านมา แล้วเขาก็จอดรถและเดินเข้ามาหาผม เขาถามผมว่า ผมอยากไปกับเขาไหม แล้วเขาก็พูดอีกว่า พี่ขอเวลาแป๊บเดียวนะ แล้วพี่จะให้เงินน้องด้วย” เยาวชนที่เริ่มให้บริการทางเพศตั้งแต่อายุ 12 ปี เล่าเหตุการณ์การแลกเปลี่ยนทางเพศครั้งแรกของเขาให้ทีมวิจัยฟัง
หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ ECPAT ยังเปิดเผยผลการวิจัยจากการลงพื้นที่สัมภาษณ์กลุ่ม ‘ผู้ให้บริการส่วนหน้า’ หรือ ‘เจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ ที่เข้าไปปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิดกับเด็ก’ จำนวน 65 คน จากพื้นที่หน้างาน คือ กรุงเทพฯ พัทยา และเชียงใหม่ ซึ่งพบว่า เจ้าหน้าที่ส่วนหน้ากลุ่มนี้มีปัญหาในการสร้างความไว้ใจเพื่อทำงานกับเด็กที่ให้บริการทางเพศซึ่งเป็นเด็กผู้ชาย พบปัญหาต่อการเข้าถึงชุมชนของเด็ก พบปัญหาไม่สามารถให้คำปรึกษากับเด็กผู้ชายกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศได้ ดังนั้นเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้จึงต้องการการอบรมเพิ่มเพื่อให้ทำงานนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
และที่สำคัญคือการพบว่า เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในส่วนหน้าอาจเผลอไปมีอคติกับเด็กกลุ่มนี้โดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะทัศนคติที่คิดว่า ‘เด็กผู้ชายที่ให้บริการแลกเปลี่ยนทางเพศไม่ใช่เหยื่อที่ถูกแสวงหาประโยชน์ทางเพศ’ ซึ่งเป็นความคิดที่ทำให้เด็กชายอาจจะไม่ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากกฎหมาย
“เด็กกลุ่มนี้ไม่ถูกมองว่าเป็นผู้ถูกแสวงหาประโยชน์ทางเพศ เพราะอคติที่มองกลุ่มเด็กผู้ชายที่มีความหลากหลายทางเพศถูกใช้ไปตัดสินว่า เด็กมีความต้องการทางเพศเอง ทั้งที่จริงๆ แล้วเด็กต้องเป็นผู้เสียหาย ไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ตาม ไม่ว่าจะถูกใช้บริการทางเพศด้วยเหตุผลใดก็ตาม และจากการสัมภาษณ์พบว่า มีเด็ก 18 คน จาก 20 คน ยืนยันว่าจะเลิกทำอาชีพนี้ ถ้าพวกเขามีทางเลือกอื่นในการหารายได้เพื่อดำรงชีพ” มาร์ก คาเวนาจห์ กล่าว
ดังนั้นสิ่งที่เยาวชนกลุ่มนี้ต้องการก็คือ โอกาสที่จะเข้าถึงบริการสังคมอย่างเท่าเทียมทั้งเพศชาย หญิง และกลุ่มความหลากหลายทางเพศ ซึ่งการทำให้พื้นที่อื่นๆ นอกจากเมืองใหญ่มีบริการทางสังคมที่เพียงพอ มีงานทำ มีการอบรมสร้างอาชีพมากขึ้น ก็จะช่วยให้เยาวชนกลุ่มนี้ไม่ต้องเข้ามาทำงานให้บริการทางเพศได้
ส่วนที่ 3 ของรายงานชิ้นนี้คือ ข้อเสนอแนะต่อการปรับปรุงกฎหมาย ซึ่งคาเวนาจห์ระบุว่า กฎหมายไทยมีข้อดีที่ไม่แบ่งแยกเพศของเยาวชนที่ถูกกระทำ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือชายก็มีผลทางกฎหมายแบบเดียวกัน ได้รับความคุ้มครองเท่าเทียมกัน แต่มีข้อเสนอที่เห็นว่ากฎหมายยังเป็นปัญหาคือ เด็กที่เป็นผู้ถูกแสวงหาประโยชน์ทางเพศยังสามารถถูกดำเนินคดีอาญาในข้อหา ‘มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้าประเวณี’ ได้ด้วย ทั้งที่ควรจัดอยู่ในกลุ่มผู้เสียหาย และในประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายที่เป็นข้อห้ามในการล่อลวงเด็กทางออนไลน์ หรือการไลฟ์สตรีมมิง รวมทั้งยังเสนอให้ยกเลิกการจำกัดอายุความสำหรับความผิดฐานแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเด็ก เพราะปัจจุบันมีอายุความเพียง 15 ปี แต่มีหลายกรณีที่การเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ล่าช้ากว่าความเป็นจริงไปมาก
ดร.พิเศษ สอาดเย็น ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย หรือ TIJ ซึ่งเป็นองค์กรร่วมในการผลิตรายงานชิ้นนี้ ระบุว่า รายงานชิ้นนี้มีความน่าสนใจมาก เพราะมีมุมมองจากผู้ปฏิบัติงานจริงที่ทำงานในส่วนหน้า และเป็นการนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับผู้ถูกแสวงหาประโยชน์ทางเพศที่เป็น ‘เด็กผู้ชาย’ ซึ่งมีความเปราะบางต่างจากเพศหญิงที่มักจะถูกพูดถึงมากกว่า รายงานวิจัยชิ้นนี้จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้ประเทศไทยเข้าใจปัญหานี้ เพื่อออกแบบกระบวนการแก้ไขที่สามารถตอบโจทย์ของปัญหาที่แท้จริงได้มากขึ้น
ผู้อำนวยการ TIJ ยังย้ำว่า ในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา หรือ UN Crime Congress 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีหลายข้อสรุปที่ให้ความสำคัญกับการทำให้กระบวนการยุติธรรมต้องรับมือกับภัยคุกคามใหม่ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือภัยคุกคามทางเพศที่เกิดขึ้นกับเด็กผ่านเทคโนโลยี โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากในโลกยุคโควิด-19 ก็ยิ่งทำให้ปัจจัยเสี่ยงต่อเด็กมีมากขึ้น เพราะเด็กอาจปรับตัวได้ไม่ดีพอกับโลกที่ต้องใช้เทคโนโลยีในยุคโควิด-19 ทั้งยังมีปัญหาความยากจน ปัญหาเศรษฐกิจ และความรุนแรงในครอบครัว จึงเชื่อว่า รายงานวิจัยชิ้นนี้จะมีประโยชน์อย่างมาก เพราะเลือกหยิบยกกรณีศึกษาที่เป็นเด็กผู้ชายและเด็กที่มีความหลากหลายทางเพศมานำเสนอ ซึ่งถือเป็นปัญหาที่พบมากในการล่วงละเมิดทางเพศผ่านสื่อออนไลน์ด้วย
มาเอีย เมาน์เชอร์ จากมูลนิธิเออเบิร์น ไลท์ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งองค์กรพันธมิตรที่ร่วมผลิตรายงานวิจัยชิ้นนี้ ได้ยกตัวอย่างกรณีของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่มีรูปร่างเล็กกว่าเด็กทั่วไป เป็นกลุ่มความหลากหลายทางเพศ และมีปัญหาความรุนแรงในครอบครัว จนต้องออกไปอยู่บ้านพักเด็กกำพร้า ออกจากระบบการศึกษาตั้งแต่อายุเพียง 12 ปี ถูกเพื่อนชักจูงไปดื่มแอลกอฮอล์และใช้ยาเสพติด เมื่อถูกจับได้ก็โดนตำหนิอย่างรุนแรงจากเจ้าหน้าที่ดูแลบ้านพัก ทำให้เด็กคนนี้ตัดสินใจหนีออกไปใช้ชีวิตคนเดียวในเมือง กลายเป็นเด็กเร่ร่อน จนต้องดำรงชีพและหาเงินมาซื้อยาเสพติดด้วยการแลกเปลี่ยนบริการทางเพศ ซึ่งจะเห็นว่า แท้จริงแล้วผู้ใหญ่มีโอกาสที่จะป้องกันเด็กคนนี้ไว้ได้หลายครั้ง ทั้งผู้ปกครอง ครู หรือเจ้าหน้าที่ที่บ้านพัก แต่พวกเขาไม่มีเครื่องมือที่เหมาะสม และไม่เข้าใจความต้องการของเด็ก จึงเห็นว่า รายงานวิจัยชิ้นนี้จะเป็นประโยชน์ตั้งแต่การถูกนำไปใช้เพื่อปกป้องเด็กผู้ชายและเด็กที่มีความหลากหลายทางเพศ ก่อนจะตกเป็นผู้ถูกแสวงหาประโยชน์ทางเพศ เพราะมีแนวทางที่ชัดเจนที่จะช่วยยุติปัญหานี้ได้
สันทนี ดิษยบุตร ผู้อำนวยการสำนักงาน เลขาธิการสถาบันนิติวัชร์ และอัยการคดีเยาวชนและครอบครัว ร่วมแสดงความคิดเห็นว่า จากมายาคติทางเพศ ทำให้ที่ผ่านมาเด็กผู้ชายมักถูกมองด้วยความห่วงใยน้อยกว่าเด็กผู้หญิงในปัญหาทางเพศมาโดยตลอด กลายเป็นปัญหาความเสมอภาคทางเพศอีกอย่างหนึ่งเช่นกัน แม้ว่าคดีทางเพศที่เด็กผู้ชายตกเป็นเหยื่อในประเทศไทยจะมีจำนวนน้อยกว่าคดีของเด็กผู้หญิงมาก แต่ถ้ามองในแง่ความรุนแรงจะพบข้อมูลจากตำรวจสากลว่า กรณีของเด็กผู้ชายมีความรุนแรงมากกว่า ดังนั้นจึงเห็นด้วยที่ในรายงานวิจัยชิ้นนี้เสนอให้กฎหมายต้องถูกปรับปรุง เพราะมีเนื้อหาที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ขององค์การสหประชาชาติ ทั้งการที่กฎหมายต้องให้ความคุ้มครองทุกเพศสภาพอย่างเท่าเทียมกัน กฎหมายต้องเน้นการปกป้องผู้เสียหายมากกว่าการลงโทษทางอาญา ต้องปรับทัศนคติของผู้ปฏิบัติการส่วนหน้าและผู้บังคับใช้กฎหมาย ให้ปฏิบัติโดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก ต้องมองเห็นว่าเด็กผู้ชายหรือเด็กกลุ่มหลากหลายทางเพศเป็นผู้เสียหายจากการถูกแสวงหาประโยชน์ทางเพศ แม้ว่าจะกระทำโดยสมัครใจก็ตาม และต้องพยายามสร้างกระบวนการให้คำแนะนำ ช่วยเหลือ รวมถึงใช้เทคโนโลยีมาเป็นช่องทางในการสื่อสารกับเด็กเหล่านี้ให้มากขึ้น เพราะภาพรวมของปัญหาคือ ความยากจน ความรุนแรงในครอบครัว ถูกบูลลี่จากความหลากหลายทางเพศ
ร.ต.อ. เขมชาติ ประกายหงษ์มณี รองผู้อำนวยการกองกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ซึ่งเป็นผู้ทำคดีการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กมากว่า 15 ปี ได้กล่าวชื่นชมรายงานวิจัยชิ้นนี้ เพราะถ้านับเฉพาะคดีของ DSI จะพบว่า ตัวเลขเด็กที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศเป็นเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง และยังพบว่ามีสิ่งที่ตามมาคู่กันเสมอคือจะมีการขายภาพลามกอนาจารของเด็กผู้ชายผ่านโลกออนไลน์ไปด้วย และข้อเท็จจริงที่ DSI พบตรงกับรายงานชิ้นนี้อีกประการหนึ่งคือ เด็กผู้ชายมักจะมีแนวโน้มที่จะเล่าเรื่องหรือบอกต่อสิ่งที่เขาถูกกระทำต่อคนใกล้ชิดได้ยากกว่าเด็กผู้หญิง เพราะอับอาย กลัวถูกบูลลี่ ทำให้มีข้อเท็จจริงที่เหยื่อในคดีของ DSI ทุกคนถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยที่ผู้ปกครองไม่รู้มาก่อนเลย และเด็กกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะเกิดอาการเจ็บป่วยทางจิตใจ มีโอกาสใช้ยาเสพติดสูง ดังนั้นหากนำรายงานวิจัยชิ้นนี้มาขยายผลจะพบว่า ปัญหาเร่งด่วนคือรัฐยังไม่มีหน่วยงานกลางที่จะบริหารจัดการคดีการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กผู้ชายโดยเฉพาะ ทำให้ไม่มีระบบฐานข้อมูลของผู้เสียหาย เกิดการทำงานที่ซ้ำซ้อนกับผู้เสียหายรายเดิม และในอีกมุมหนึ่งก็ยังขาดทีมที่จะสามารถรับแจ้งเหตุการณ์เพื่อเข้าไปปกป้องเด็กได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งการที่ต้องมีกระบวนการเยียวยาให้เด็กก่อนกลับเข้าสู่สังคมด้วย
รายงานนี้จัดทำขึ้นโดยความร่วมมือกับสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย สำหรับการรวบรวมข้อมูลได้ดำเนินการร่วมกับสมาคมฟ้าสีรุ้ง (Rainbow Sky Association of Thailand), Urban Light Foundation Thailand, SISTERS Foundation, CAREMAT และ V-power
ดาวน์โหลดรายงานวิจัยฉบับเต็มได้ที่