ภาวะเศรษฐกิจในประเทศตุรกียังน่าเป็นห่วงท่ามกลางความกังวลจากหลายฝ่ายว่านี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตการณ์ทางการเงินครั้งใหม่หรือไม่ ภาครัฐและผู้กำกับดูแลที่มีหน้าที่ดูแลเสถียรภาพและรักษาความเชื่อมั่นต่อระบบธุรกิจและการเงินไทยต่างออกมายืนยันว่า เรื่องดังกล่าวแทบจะไม่กระทบกับประเทศไทย เนื่องจากไทยและตุรกียังมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจกันน้อย
จันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายยุทธศาสตร์และความสัมพันธ์องค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยว่า แบงก์ชาติติดตามสถานการณ์ในตลาดการเงินโลกจากสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจในประเทศตุรกีอย่างใกล้ชิด สำหรับผลกระทบที่มีต่อประเทศไทยนั้น ปัจจุบันไทยมีการค้าและการลงทุนกับตุรกีไม่สูงมาก ผลกระทบต่อตลาดเงินของไทยจึงจำกัด อย่างไรก็ตาม โดยแบงก์ชาติจะติดตามผลกระทบต่อประเทศอื่นๆ และช่องทางการส่งผ่านต่างๆ เพื่อประเมินสถานการณ์ต่อไป
ส่วน ณัฐญา นิยมานุสร ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ชี้แจงกรณีการอ่อนตัวลงของค่าเงินตุรกีและเกิดความกังวลต่อการลงทุนของไทยนั้น ก.ล.ต. เห็นว่ากรณีดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อกองทุนรวมไทย โดยมูลค่าการลงทุนของกองทุนรวมไทยในประเทศตุรกีมีเพียง 7 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 0.15% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวมไทยทั้งหมด โดยเป็นการลงทุนของกองทุนรวมตราสารหนี้ 2 กองทุนในเงินฝากและตราสารหนี้ของธนาคารตุรกีในรูปสกุลเงินเหรียญสหรัฐและยูโร ซึ่งได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนไว้อยู่แล้ว
ทั้งนี้ ผู้ลงทุนไม่ควรวิตกกังวลจนเกินไป แต่ควรติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ซึ่งบริษัทจัดการที่มีการลงทุนในตุรกีได้ติดตามสถานการณ์ในประเทศตุรกี และผลกระทบต่อกองทุนรวม รวมถึงดำเนินการเพื่อประโยชน์ของผู้ลงทุนเป็นสำคัญ ในขณะเดียวกัน ก.ล.ต. ก็จะมีการติดตามสถานการณ์และผลกระทบต่อไปด้วย
สำหรับภาพรวมการค้าระหว่างประเทศนั้น พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ ประเมินว่า ผลกระทบต่อการค้าระหว่างไทยและตุรกีจะไม่ส่งผลกระทบต่อเป้าการส่งออกปีนี้ที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 8% ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวตุรกีเดิมมีสัดส่วนค่อนข้างน้อยอยู่แล้วจึงไม่น่าจะกระทบต่อภาพรวมการท่องเที่ยว ขณะที่ภาคธุรกิจของไทยที่ไปลงทุนในตุรกียังมีไม่มาก หากรัฐบาลตุรกีใช้นโยบายควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุน เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อไทยเช่นกัน
ประเทศตุรกีเป็นคู่ค้าของไทยอันดับที่ 33 มูลค่าการส่งออกครึ่งปีแรกนี้อยู่ที่ 644.3 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 2.14 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 0.51% ของมูลค่าการส่งออกไทยทั้งหมด สินค้าส่งออกสำคัญคือรถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศ เส้นใยประดิษฐ์ ยางพารา ผลิตภัณฑ์ยาง เม็ดพลาสติก และตู้เย็น เป็นต้น
จึงถือเป็นการประสานเสียงกันจากทางภาครัฐและส่วนงานสำคัญเพื่อสยบความกังวลที่มีต่อภาคการลงทุนและการค้าของผู้ประกอบการไทย จากนี้ต้องติดตามต่อสำหรับการผลักดันเขตการค้าเสรีระหว่างไทยและตุรกีที่ผลักดันกันมาระยะหนึ่งแล้วว่าจะสะดุดหรือไม่
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง:
- ธนาคารแห่งประเทศไทย
- สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
- www.prachachat.net/economy/news-204399