×

ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติชี้ รัฐบาลทุกยุคไม่ทำนโยบายระยะยาวเท่าที่ควร

20.09.2024
  • LOADING...

ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติชี้ การทำนโยบายของไทยทุกยุคทุกสมัยไม่ได้ให้ความสำคัญกับอนาคตเท่าที่ควร ขณะที่ปัญหาต่างๆ เช่น ปัญหาหนี้ครัวเรือน การลงทุนต่ำ และปัญหาด้านสภาพภูมิอากาศ ล้วนเป็นผลมาจากการ ‘มองสั้น’ มากกว่า ‘มองยาว’ ย้ำ นโยบายการเงินมีพันธกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว แต่หน้าที่ในการ ‘มองยาว’ มาพร้อมกับอิสระในการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุพันธกิจดังกล่าว

 

วันนี้ (20 กันยายน) ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวสุนทรพจน์ในงานสัมมนาวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทย ประจำปี 2567 หัวข้อ ‘หนี้: The Economics of Balancing Today and Tomorrow’ โดยระบุว่าสังคมปัจจุบันกำลังเผชิญปัญหาหลายระดับ ได้แก่ ระดับบุคคล ระดับประเทศ และระดับโลก โดยปัญหาต่างๆ อาจดูแตกต่างกัน แต่กลับมีจุดร่วมสำคัญคือ เป็นปัญหาที่เกิดจากการตัดสินใจโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นใน ‘ระยะสั้น’ เป็นหลัก และไม่ได้ให้ความสำคัญกับต้นทุนที่เกิดขึ้นในอนาคตมากเท่าที่ควร

 

ในระดับบุคคล: หนี้ครัวเรือนในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาเพิ่มจาก 50% เป็น 90% ต่อ GDP ซึ่งมาพร้อมกับภาวะการเงินของครัวเรือนไทยที่เปราะบางมากขึ้นเรื่อยๆ โดยในปัจจุบัน 38% ของคนไทยมีหนี้ในระบบ มีปริมาณหนี้เฉลี่ยคนละ 540,000 บาท และส่วนใหญ่มีหนี้ที่อาจไม่ก่อให้เกิดรายได้ ครัวเรือนบางกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อย ที่ต้องก่อหนี้ในช่วงที่ขาดรายได้จากวิกฤตโควิด กำลังเริ่มมีปัญหาในการชำระหนี้เนื่องจากรายได้อาจยังไม่ฟื้นตัวดี ในขณะที่มีเพียง 22% ของคนไทยที่มีเงินออมในระดับที่เพียงพอ และเพียง 16% ที่มีการออมเพื่อการเกษียณอายุ

 

ในระดับประเทศ: เราประสบปัญหาการลงทุนที่ต่ำต่อเนื่องมายาวนาน การลงทุนโดยรวมของไทยจากที่เคยโตเฉลี่ย 10% ต่อปี ก่อนเกิดวิกฤตปี 2540 เหลือเพียง 2% ต่อปี ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และในภาคอุตสาหกรรมไทยมีบริษัทเพียงไม่ถึง 3% เท่านั้นที่ลงทุนใน R&D ทำให้การลงทุนในด้านนี้ของไทยยังต่ำเพียงประมาณ 1% ของ GDP เมื่อเปรียบเทียบกับเกาหลีใต้ที่สูงถึง 5% ของ GDP

 

ในระดับโลก: เรากำลังเผชิญกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลให้เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วเกิดขึ้นบ่อย และมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหตุการณ์เหล่านี้กำลังส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของคนทั่วโลก ข้อมูลจากองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organization: WMO) ชี้ให้เห็นว่าผลกระทบและความเสียหายทางเศรษฐกิจจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่เกิดขึ้นทั่วโลกได้เพิ่มขึ้นกว่า 8 เท่าตัว ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา

 

การทำนโยบายของ (รัฐบาล) ไทยทุกยุค ไม่มองยาวเท่าที่ควร

 

ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวอีกว่า การทำนโยบายของไทยทุกยุคทุกสมัยไม่ได้ให้ความสำคัญกับอนาคตเท่าที่ควร ดั่งเช่นที่อดีตนายกรัฐมนตรีลักเซมเบิร์กระบุว่า ทุกคนรู้ว่าต้องทำอะไร แต่ห่วงว่าพอทำไปแล้วจะไม่ได้รับเลือกกลับมา สะท้อนว่าทุกประเทศเจอปัญหาจากอคติทางนโยบายอยู่แล้ว การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่เป็นปัญหาระยะยาวจึงถูกดันออกไปอยู่เรื่อยๆ

 

นโยบายการเงินต้องรักษาสมดุลทั้งในระยะสั้น-ยาว

 

ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวอีกว่า เช่นเดียวกับนโยบายสาธารณะอื่นๆ นโยบายการเงินมีต้นทุนและผลประโยชน์ที่ผู้ดำเนินนโยบายต้องพยายามรักษาสมดุลทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

 

ธนาคารกลางทั่วโลกมีพันธกิจที่คล้ายคลึงกันคือ ไม่เพียงต้องการเห็นเศรษฐกิจขยายตัว แต่ต้องเสริมสร้างให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วย ซึ่งต้องอาศัยเสถียรภาพด้านราคาและเสถียรภาพระบบการเงินเป็นพื้นฐานสำคัญ ธนาคารกลางจึงถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการดำเนินนโยบายการเงินที่ต้องให้น้ำหนักกับเสถียรภาพในระยะยาว

 

“ถึงแม้การกระตุ้นเศรษฐกิจจะสามารถทำได้ผ่านการกำหนดอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งจะสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้รวดเร็วในระยะสั้น แต่มักต้องแลกมาด้วยภาวะเงินเฟ้อ และอาจเป็นการสะสมความเปราะบางในระบบเศรษฐกิจจากการก่อหนี้เกินตัวหรือพฤติกรรมเก็งกำไรของนักลงทุน ซึ่งจะฉุดรั้งการเติบโตในระยะยาวหรือนำไปสู่วิกฤตร้ายแรงได้” ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าว

 

ย้ำ ธนาคารกลางต้องมีอิสระ

 

ดร.เศรษฐพุฒิ ระบุอีกว่า หน้าที่ในการ ‘มองยาว’ ของธนาคารกลางจึงต้องมาพร้อมกับอิสระในการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุพันธกิจดังกล่าว หลายๆ ครั้งในการทำหน้าที่ของธนาคารกลางต้องดำเนินนโยบายในลักษณะที่สวนทางกับวัฏจักรเศรษฐกิจ ซึ่งกระทบต่อทุกภาคส่วนเป็นวงกว้างและย่อมมีทั้งผู้ที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์

 

ดังนั้นหากธนาคารกลางไม่อิสระเพียงพอก็อาจทำให้เสียหลักการของการ ‘มองยาว’ ได้ งานวิจัยจำนวนมากชี้ให้เห็นว่าความเป็นอิสระและความน่าเชื่อถือของธนาคารกลางเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้เกิดเสถียรภาพด้านราคา ตัวอย่างงานวิจัยของ IMF ในปี 2023 พบว่า ประเทศที่ธนาคารกลางมีความเป็นอิสระและน่าเชื่อถือ สามารถยึดเหนี่ยวการคาดการณ์เงินเฟ้อได้ดีกว่าและประสบความสำเร็จในการดูแลเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำ

 

ที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทยได้ดำเนินการในหลายๆ ด้านเพื่อช่วยให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศมีเสถียรภาพและประสิทธิภาพในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินนโยบายการเงินที่คำนึงถึงเสถียรภาพเป็นสำคัญ โดยใช้ Policy Mix ที่เหมาะสม รวมถึงการให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ

 

ขณะเดียวกันต้องไม่เอื้อให้เกิดการสะสมความเสี่ยงเชิงระบบ การออกมาตรการการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) เพื่อยกระดับมาตรฐานของสถาบันการเงินให้มีความรับผิดชอบต่อลูกหนี้ตลอดวงจรของการเป็นหนี้ และส่งเสริมให้ประชาชนไทยมีวินัยทางการเงิน อันจะเป็นรากฐานสำคัญในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน และการพัฒนาระบบการเงินที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง เพื่อสนับสนุนครัวเรือนและธุรกิจในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจในโลกยุคใหม่

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X