สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณจังหวัดสระแก้ว กำลังร้อนระอุอีกครั้ง เมื่อกองกำลังบูรพาประกาศใช้มาตรการขั้นสูงสุด สั่งเข้มงวดคนไทยที่ทำงานทุกประเภทในบ่อนการพนัน คาสิโน หรือสถานบันเทิง ในเมืองปอยเปต เดินทางออกนอกราชอาณาจักรผ่านทุกจุดผ่านแดนในพื้นที่ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ของวันนี้ (17 มิถุนายน)
คำสั่งนี้ไม่ใช่เพียงการยกระดับมาตรการคุมเข้ม แต่เป็นผลพวงโดยตรงจากการตรึงกำลังของทหารทั้งสองฝ่ายในพื้นที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของสถานการณ์และผลกระทบที่อาจขยายวงกว้างออกไปอย่างคาดไม่ถึง
คำสั่ง ‘จำกัด’ ชายแดน
มาตรการของกองกำลังบูรพาที่สั่งห้ามคนไทยกลุ่มนี้เดินทางออกนอกประเทศ แสดงถึงความกังวลอย่างยิ่งของฝ่ายความมั่นคงไทยต่อสถานการณ์ชายแดน โดยเฉพาะประเด็นด้านความปลอดภัยและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากความตึงเครียดยกระดับ การตัดสินใจครั้งนี้เป็นการยกระดับการควบคุมชายแดนขึ้นอีกขั้น หลังจากที่มีการตรึงกำลังในพื้นที่ช่องบก ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความไม่ไว้วางใจและท่าทีที่แข็งกร้าวขึ้นของทั้งสองฝ่าย
แหล่งข่าวในพื้นที่ชายแดนเปิดเผยว่า มีคนไทยราว 3,000-4,000 คน ณ วันนี้ (17 มิถุนายน) ที่ยังคงทำงานอยู่ในบ่อนการพนัน คาสิโน หรือสถานบันเทิงในเมืองปอยเปต ซึ่งเป็นแหล่งงานสำคัญสำหรับคนไทยจำนวนมากที่เลือกข้ามไปทำงานฝั่งกัมพูชา ซึ่งคาดการณ์ว่านับจากวันนี้บริษัทในกัมพูชาอาจพยายามต่อรองให้คนไทยกลุ่มนี้อยู่ทำงานต่อเกินกว่าระยะเวลาที่ทางการไทยกำหนดไว้ก่อนหน้านี้ที่ 7 วัน
ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง สถานการณ์จะยิ่งซับซ้อนและเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับสวัสดิภาพของคนไทยกลุ่มนี้
ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาคือ ผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยเหล่านี้ หากพวกเขาถูกบีบให้ต้องอยู่ในกัมพูชาเกินกว่ากำหนด หรือหากเกิดสถานการณ์ที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถทำงานต่อได้ พวกเขาจะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทั้งด้านรายได้และความปลอดภัย
ช่องทางธรรมชาติทางออกฉุกเฉิน
เมื่อจุดผ่านแดนหลักถูกควบคุมอย่างเข้มงวด ปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือการที่คนไทยจำนวนหนึ่งอาจพยายามลักลอบใช้ ช่องทางธรรมชาติ ในจังหวัดสระแก้วเพื่อหลบหนีไปมาระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งเป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยอันตรายและความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นการถูกจับกุม การเผชิญกับกลุ่มผู้กระทำผิดกฎหมาย หรือแม้แต่อันตรายจากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ
เพื่อรับมือกับปัญหานี้ หน่วยเฉพาะกิจอรัญประเทศ และชุดควบคุมกรมทหารพรานที่ 12 ได้จัดกำลังพลออกลาดตระเวนอย่างเข้มข้น ทั้งการเดินเท้าตามแนวชายแดน การลาดตระเวนทางน้ำบริเวณคลองลึก, คลองพรหมโหด, คลองน้ำใส และการใช้โดรนในการลาดตระเวนทางอากาศ เพื่อป้องกันการลักลอบข้ามแดนโดยผิดกฎหมาย
ทั้งนี้การข้ามแดนโดยไม่ผ่านการตรวจของเจ้าหน้าที่ หรือ เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายไม่ใช่เพียงแค่การฝ่าฝืนกฎระเบียบ แต่เป็นการกระทำที่ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง ทั้งต่อตัวผู้กระทำ สังคม และความมั่นคงของประเทศ
ประเทศไทย พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 เป็นกฎหมายหลักที่ควบคุมการเดินทางเข้า-ออก และการอยู่ในราชอาณาจักรของทั้งคนไทยและคนต่างชาติ โดยมีหลักการสำคัญระบุไว้อย่างชัดเจนใน มาตรา 11 ที่กำหนดว่า
‘บุคคลซึ่งเดินทางเข้ามาใน หรือออกไปนอกราชอาณาจักร จะต้องเดินทางเข้ามาหรือออกไปตามช่องทาง ด่านตรวจคนเข้าเมือง เขตท่าสถานี หรือท้องที่และตามกำหนดเวลา ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีจะได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา’
เป็นการยืนยันว่าทุกการเข้า-ออกประเทศต้องผ่านขั้นตอนการอนุญาตจากเจ้าพนักงาน ณ ด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ได้รับการกำหนดไว้เท่านั้น หากลักลอบเข้า-ออกประเทศโดยไม่ผ่านการตรวจ
- คนต่างชาติ มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และ ปรับไม่เกิน 20,000 บาท ตามมาตรา 62
- คนไทย มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท ตามมาตรา 62
ที่สำคัญคือ กฎหมายไม่ได้จำกัดแค่ตัวผู้กระทำความผิดเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงผู้ที่ให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนการกระทำผิดด้วย โดยมาตรา 63 และ 64 กำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ที่ให้ที่พักพิง ซ่อนเร้น หรืออำนวยความสะดวกใดๆ ให้คนต่างด้าวเข้ามาหรืออยู่ในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย ซึ่งอาจมีโทษจำคุกสูงถึง 10 ปี และปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของพฤติการณ์
การยกระดับมาตรการควบคุมชายแดนครั้งนี้ โดยเฉพาะคำสั่งจำกัดการเดินทางของคนไทยที่ทำงานในปอยเปต สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ คนไทยหลายพันคนที่ยังคงทำงานอยู่ในบ่อนการพนันและสถานบันเทิงในเมืองปอยเปต หากบริษัทในกัมพูชาต่อรองให้พวกเขาอยู่ทำงานต่อเกินกว่า 7 วันตามที่เจ้าหน้าที่กำหนดไว้ พวกเขาจะเผชิญกับทางเลือกที่ยากลำบาก
ทางหนึ่งคือ การเลือกที่จะลักลอบกลับเข้าประเทศไทยผ่าน ช่องทางธรรมชาติ ซึ่งเต็มไปด้วยความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นอันตรายจากภูมิประเทศ การตกเป็นเหยื่อของกลุ่มผิดกฎหมาย หรือการถูกจับกุมและต้องเผชิญกับบทลงโทษตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522
อีกในมุมหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การรับประกันความปลอดภัยและสวัสดิภาพของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป หากพวกเขาถูกบีบให้อยู่ในกัมพูชาโดยไม่สมัครใจ หรือสถานการณ์เลวร้ายลง รัฐบาลไทยจะมีมาตรการรองรับและให้ความช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงทีหรือไม่