มูลค่าของหุ้นและบอนด์ทั่วโลกมีมูลค่าลดลงถึง 30 ล้านล้านดอลลาร์ หรือราว 1 พันล้านล้านบาท ตลอดทั้งปี 2022 หลังเผชิญแรงกดดันจากทั้งเงินเฟ้อพุ่งสูง อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น และสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน นำไปสู่การดิ่งลงของราคาสินทรัพย์ทั่วโลก
ดัชนี MSCI All-World ทั้งในฝั่งของตลาดหุ้นพัฒนาแล้วและตลาดหุ้นเกิดใหม่สูญเสียมูลค่าไปราว 1 ใน 5 ในปีที่ผ่านมา ถือเป็นการดิ่งลงมากสุดในปี 2008 โดยตลาดหุ้นสำคัญอย่างสหรัฐฯ จีน และเยอรมนี ต่างดิ่งลงอย่างหนัก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ไขคำตอบ…ทำไม หุ้นเวียดนาม ดิ่งเกือบจะหนักสุดของโลก ล้างภาพดาวรุ่งแห่งเอเชีย
- จับตา! หุ้นฮ่องกง ดีดกลับจริงหรือแค่ชั่วคราว หลังผู้นำจีนส่งสัญญาณหนุนตลาดหุ้นอีกครั้ง
- ส่อง 9 ตลาดหุ้นเอเชีย ‘อินโดนีเซีย’ แชมป์เงินไหลเข้ามากสุด และเป็นตลาดหนึ่งเดียวที่ยืนบวก
สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ แรงขายที่ออกมาในวันสุดท้ายทำให้หุ้นขนาดใหญ่ใน ตลาด S&P 500 และตลาด Nasdaq ทำให้ดัชนีดังกล่าวลดลง 19% และ 33% ตามลำดับ สำหรับปีที่ผ่านมา
ขณะที่ตลาดบอนด์ถูกเทขายอย่างหนักเช่นกัน ส่งผลให้ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี เพิ่มขึ้นจาก 1.5% มาเป็น 3.9% ถือเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับแต่ช่วงปี 1960-1970
Luca Paolini หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ของ Pictet Asset Management กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้เราอยู่ในช่วงที่ตลาดหุ้นและบอนด์อยู่ในระดับที่แพงติดต่อกันหลายปี หนุนจากเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยต่ำ บทเรียนจากปีที่ผ่านมาคือ ถึงจุดหนึ่งตลาดจะวกกลับ”
มูลค่าตลาดของหุ้นต่างๆ ทั่วโลกลดลงไป 25 ล้านล้านดอลลาร์ อิงจากข้อมูลของ Bloomberg ขณะที่ข้อมูลจาก Multiverse Index ซึ่งติดตามการเคลื่อนไหวของตราสารหนี้รัฐบาลและเอกชน สะท้อนว่ามูลค่าตลาดของตราสารหนี้ลดลงไปเกือบ 16% หรือราว 9.6 ล้านล้านดอลลาร์
Antonio Cavarero หัวหน้าฝ่ายการลงทุนของ Generali Insurance Asset Management กล่าวว่า ขาลงของหุ้นและบอนด์เป็นสิ่งที่ทำให้เกมการเงินที่เปลี่ยนไป แต่สิ่งที่ต่างออกไปจากปี 2008 คือ การดิ่งลงในครั้งนั้นกระจุกตัวอยู่กับหุ้นเป็นหลัก ในขณะที่บอนด์มีราคาเพิ่มขึ้นช่วยชดเชยให้กับนักลงทุนที่เสียหายจากหุ้น
ทั้งนี้ การดิ่งลงของหุ้นขนาดใหญ่อย่าง Tesla มูลค่าหายไป 2 ใน 3 ขณะที่ Meta บริษัทแม่ของ Facebook ดิ่งลง 64% NVIDIA ลดลง 50% Alphabet บริษัทแม่ของ Google ลดลงเกือบ 40% ขณะที่ Apple และ Microsoft ลดลงเกือบ 30%
ส่วนดัชนี CSI 300 ซึ่งอิงดัชนีหุ้นจีนในเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น ลดลง 22% และ 28% ในสกุลดอลลาร์ ส่วนดัชนี MSCI Europe ลดลง 16% ในสกุลดอลลาร์ แต่หากพิจารณาในสกุลยูโร การลดลงจะเหลือเพียง 11%
อ้างอิง: