SCB CIO แนะ ลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศระดับ Investment Grade พร้อมจับตาตลาดหุ้นเอเชีย หาจังหวะลงทุนหุ้นจีนที่ได้รับแรงหนุนจากการเปิดเมือง
หุ้นไทยที่ได้รับผลบวกเศรษฐกิจฟื้นตัวจากภาคการท่องเที่ยว แรงหนุนจากมาตรการช้อปดีมีคืน และการใช้จ่ายช่วงก่อนเลือกตั้ง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- เปิดสาเหตุที่ทำให้ ‘หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์’ สร้างความปั่นป่วนแก่ตลาดตราสารหนี้ในขณะนี้
- เปิดชื่อ ‘10 หุ้นฮอต’ ต่างชาติแห่ซื้อสุทธิมากสุดในรอบ 6 วันทำการ มูลค่ารวมกว่า 1.25 หมื่นล้านบาท
- 10 อันดับ หุ้นกลุ่มพลังงาน ขวัญใจนักลงทุน ราคาวิ่งแรงที่สุดรอบครึ่งปี 2565
ด้าน InnovestX มองหุ้นปีนี้แตะ 1,750 จุด รับอานิสงส์ตลาดหุ้นจีนฟื้นตัว แนะกลยุทธ์ลงทุนแบ่งพอร์ตหุ้น 2 พอร์ต โดยพอร์ตที่ 1 สัดส่วน 70% ลงทุนหุ้นพื้นฐานดี ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศของจีน พอร์ตที่ 2 สัดส่วน 30% ลงหุ้นเก็งกำไร ที่คาดว่าผลการดำเนินงานจะกลับมาในปี 2566
ศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product และผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้โลกของการลงทุนเริ่มสดใสมากขึ้น มีปัจจัยบวกจากการเปิดเมืองของจีน ขณะที่ปัจจัยลบต่างๆ เริ่มคลายตัว แม้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจะมีโอกาสเกิดขึ้น แต่จะไม่รุนแรง ขณะที่อัตราดอกเบี้ยจะยังปรับขึ้นต่ออีก ซึ่งจะทำให้ตลาดการเงินมีความผันผวนในช่วงครึ่งปีแรก แต่ Fed น่าจะสิ้นสุดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปีนี้
ในช่วงเวลานี้แนะนำให้ทยอยลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ เพราะโอกาสที่อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้จะปรับเพิ่มขึ้นในระดับสูงมีค่อนข้างจำกัด สอดคล้องกับที่คณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มองว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อลดความเสี่ยงที่มีต่อเศรษฐกิจ นอกจากนี้แนะนำให้เพิ่มอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ โดยทยอยเพิ่ม Duration ในพอร์ตการลงทุน และเน้นเลือกหุ้นกู้ภาคเอกชนที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูง (Investment Grade) ทั้งของไทยและต่างประเทศ เนื่องจากมีความสามารถในการชำระหนี้และจ่ายดอกเบี้ยได้ แม้ในช่วงเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม แนะนำให้หลีกเลี่ยงกลุ่มตราสารหนี้อันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้ (High Yield) โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่บางประเทศที่มีความเสี่ยงปัญหาสภาพคล่อง โดยเฉพาะกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในหลายประเทศที่อาจเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ เช่น จีน รวมถึงความเสี่ยง Refinancing ในหุ้นกู้ที่จะครบกำหนด
หุ้นจีนโดดเด่น อานิสงส์การบริโภคฟื้น
ศรชัยกล่าวว่า ตลาดหุ้นเอเชียเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลง และยังเป็นตลาดที่มีแรงหนุนจากการเปิดเมืองของจีน โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีน A-Share เนื่องจากดัชนีมีแนวโน้มได้รับแรงหนุนจากการออกมาตรการกระตุ้นการบริโภค การสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ และการเร่งผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด ขณะที่มูลค่ายังอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยและมีแนวโน้มทยอยฟื้นตัวต่อ แม้ว่าการเปิดเมืองอาจทำให้เกิดการระบาดเร่งตัวได้ในระยะใกล้ก็ตาม
ด้านตลาดหุ้นจีน H-Share ได้รับประโยชน์จากการเปิดเมืองของจีนเช่นกัน ขณะที่ความเสี่ยงที่หุ้นจีน ADR จะถูก Delist ลดลงมาก แม้ว่าตลาดยังเผชิญปัจจัยกดดันจากความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ ก็ตาม
ส่วนตลาดหุ้นไทยได้รับผลบวกจากเศรษฐกิจฟื้นตัวตามการท่องเที่ยว มีแรงหนุนจากมาตรการช้อปดีมีคืนและการใช้จ่ายช่วงก่อนเลือกตั้ง โดยเน้นหุ้นกลุ่มพาณิชย์ ขนส่ง รวมทั้งสาธารณูปโภค และตลาดหุ้นอินโดนีเซียที่มีแรงหนุนจากการใช้จ่ายในประเทศที่เติบโต โดยเฉพาะช่วง 1 ปีก่อนที่จะมีการเลือกตั้งต้นปี 2567
มองเป้าหมายดัชนีปีนี้ 1,750 จุด
ด้าน สุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) กล่าวว่า แนวโน้มภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในปี 2566 ในไตรมาสที่ 1 ความเสี่ยงด้านนโยบายการเงินตึงตัว แม้จะมีแนวโน้มลดลงแต่ยังคงไม่จบ ในขณะที่ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจและผลการดำเนินงานชะลอตัวกำลังเพิ่มขึ้น ส่วนการเปิดประเทศของจีนเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยลดความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจชะลอตัวได้บ้าง
ในไตรมาส 2 เราคาดว่าจะเห็นสัญญาณของเศรษฐกิจและกำไรผ่านจุดต่ำสุด รวมถึงความเสี่ยงของการส่งผ่านผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ราคาพลังงานของสหภาพยุโรป
“เหตุการณ์สำคัญในไตรมาส 2 ปี 2566 ที่อาจกระตุ้นให้ตลาดถึงจุดต่ำสุด ได้แก่
- นโยบายการเงินที่เริ่มลดระดับการตึงตัว
- Real Yield กลับมาเป็นบวก
หมายความว่าดอลลาร์จะอ่อนค่าลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะตลาด Emerging Market โดยจุดเข้าซื้อที่สำคัญอยู่ระหว่าง 1,550-1,600 จุด เราคิดว่าตลาดหุ้นน่าจะยังมี Downside อีกมากหากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างเต็มรูปแบบในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ แต่สมมติฐานนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้น” สุกิจกล่าว
ส่วนในไตรมาส 3 ตลาดหุ้นไทยรับประโยชน์จากเศรษฐกิจในประเทศที่เติบโตได้ดีกว่าสหรัฐฯ และยุโรป รวมถึงได้รับประโยชน์จากเงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชีย และไตรมาส 4 ผลตอบแทนของตลาดดูเหมือนจะมีจำกัด เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตของปี 2024 กลับมาสู่ภาวะปกติ Valuation คาดว่าจะดึงตัวหลังจาก Rally อย่างแข็งแกร่ง โดยคาดการณ์ดัชนีอยู่ที่ 1,750 จุด
กลุ่ม Domestic Play โตแรงรับเศรษฐกิจ
นักเศรษฐศาสตร์ของ InnovestX ประเมินว่า ข้อจำกัดเกี่ยวกับโควิดส่งผลให้ GDP Output ของจีนปรับลดลงราว 4-5% จากระดับ Trend ทำให้ GDP ขยายตัวราว 5% เราคิดว่าตลาดจะตอบรับเชิงบวกต่อการผ่อนคลายนโยบายของจีน เนื่องจากจีนคิดเป็น 1 ใน 3 ของ Traffic และรายได้จากการท่องเที่ยวของประเทศไทย และจะช่วยกระตุ้นให้เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าสุทธิ หากตลาดหุ้นจีนฟื้นตัว ตลาดหุ้นไทยจะได้รับประโยชน์จาก Rally และส่งผลดีต่อ 4 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ ขนส่ง อาหารและเครื่องดื่ม และท่องเที่ยว เนื่องจากเศรษฐกิจในปี 2566 จะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในปีนี้ ด้วยสภาพตลาดหุ้นที่ยังคงมีความผันผวน จึงแนะนำให้แบ่งหุ้นเป็น 2 พอร์ต สัดส่วน 70:30
โดยพอร์ตที่ 1 (70%) เน้นหุ้นพื้นฐานดีที่ได้ประโยชน์จากเปิดเมืองของจีนและเศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัว มีอัตราการเติบโตดีต่อเนื่อง และมีความเป็นหุ้นเชิงรับ
ส่วนพอร์ตที่ 2 (30%) เป็นหุ้นเก็งกำไร ที่คาดว่าผลการดำเนินงานจะ Turnaround ได้ในปี 2023 โดยเป็นบริษัทที่ความเสี่ยงด้านฐานะทางการเงินต่ำ
โดยหุ้นแนะนำในพอร์ตที่ 1 ได้แก่ AOT, BBL, BDMS, CPALL, CRC, GPSC และ SCGP ส่วนในพอร์ตที่ 2 ได้แก่ AU, HANA และ SECURE