คำถามยอดฮิตที่เมกอัพรุ่นใหญ่อย่าง อ๊อด-เชิดชัย สิทธิมานะชัย Bobbi Brown Senior National Makeup Artist ได้รับจากสาวๆ เมื่อเดินเข้ามาในเคาน์เตอร์ คือการถามหาความแตกต่างระหว่างเบสเมกอัพกับไพรเมอร์ว่าเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร จากประสบการณ์ทำงานทั้งในไทยและต่างประเทศ ผู้สัมผัสเครื่องสำอางมานับไม่ถ้วนจึงมีคำตอบดีๆ มาเคลียร์ให้สาวไทยได้หายข้องใจกันสักที แถมยังใจดีแนะนำ 4 ไพรเมอร์สูตรเด็ดเพื่อเนรมิตผิวสวยสั่งได้ในแบบที่ต้องการอีกด้วย
ไพรเมอร์ VS. เบสเมกอัพ
เราจะมาพูดถึงเพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับรองพื้นกัน นั่นคือไพรเมอร์ จากประสบการณ์ในการทำงานของผมเอง เวลาผู้หญิงเดินเข้ามาถามหาไพรเมอร์มักจะเกิดความสงสัยว่า มันแตกต่างกับเบสเมกอัพอย่างไร วันนี้เลยจะมาเคลียร์ทุกข้อข้องใจเกี่ยวกับไพรเมอร์และเบสเมกอัพให้ได้รู้กันนะครับ
จริงๆ แล้วเบสกับไพรเมอร์มีเป้าหมายเหมือนกันคือทำให้รองพื้นที่เราใช้ติดทนนาน เพราะฉะนั้นตำแหน่งของเบสและไพรเมอร์ที่เราจะใช้คือการทาลงบนผิวหลังจากทาสกินแคร์เสร็จแล้ว จำง่ายๆ ว่าใช้ก่อนลงรองพื้นหรือแป้ง ทั้งนี้เพื่อผลลัพธ์เดียวกันคือต้องการให้เมกอัพต่างๆ ติดทนนาน นั่นคือความเหมือนในเรื่องเป้าหมายการใช้งานนะครับ แต่เบสกับไพรเมอร์ก็จะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันในบางรายละเอียด เช่น
เบส ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของการปรับโทนสีผิวให้สม่ำเสมอ เช่น คนที่มีรอยแดง รอยจ้ำแดงบนผิว สีผิวที่ไม่เท่ากัน ใบหน้าที่ดูไม่สดชื่น เบสเมกอัพจะเน้นโฟกัสไปที่เรื่องสีและแสง เพราะในเบสนั้นบางทีจะมีชิมเมอร์เป็นส่วนผสมอยู่ด้วย เพื่อใช้หลักการหักเหของแสงทำให้รอยแดงต่างๆ แลดูลดลง
ไพรเมอร์ จะพูดถึงความเรียบเนียน ความเบลอ เพราะฉะนั้นคนที่จะใช้ไพรเมอร์น่าจะเป็นคนที่มีรูขุมขนกว้าง มีริ้วรอย ใช้กับคนที่อยากให้เมกอัพติดทนนานและดูเรียบเนียน ผมเลยมองว่าการที่ผู้หญิงจะเลือกว่าตัวเองซื้อเบสหรือไพรเมอร์ ควรจะแยกให้ออกก่อนว่าไพรเมอร์กับเบสต่างกันอย่างไร และต้องรู้ว่าตัวเองเหมาะกับสิ่งไหน เพื่อให้ได้ผิวในแบบที่ตัวเองต้องการ
ถ้าจะใช้สองอย่างพร้อมกันเลยได้ไหม
มันมีคำถามนี้เกิดขึ้นบ่อยเหมือนกัน ผมอยากตอบว่าผู้หญิงทุกคนไม่จำเป็นต้องฟุ่มเฟือยไปกับผลิตภัณฑ์ทุกประเภทที่มีในท้องตลาด แต่ถ้าคุณสามารถดึงคาแรกเตอร์ตัวเองออกมาได้ก็จะรู้ว่าควรจะเลือกใช้อะไร ถ้าคำถามคืออยากใช้ทั้งเบสและไพรเมอร์ได้ไหม เราต้องถามกลับไปว่าปัญหาของเขาคืออะไรมากกว่า ถ้าข้างแก้มมีรอยจ้ำแดง เขาจะใช้เป็นเบสในบริเวณนั้นก็ได้ แต่ถ้าช่วงทีโซนมีความมันและมีรูขุมขน อยากให้ผิวแลดูเนียนละเอียด เขาก็สามารถที่จะใช้ไพรเมอร์ได้ด้วย แต่ประเด็นสำคัญที่ผมอยากเล่าให้ฟังมันอยู่ที่ไพรเมอร์ตัวใหม่ของ Bobbi Brown ที่สร้างมาเพื่อรองรับความต้องการของผู้หญิงโดยเฉพาะ
รู้จักไพรเมอร์รุ่นใหม่ที่เก่งกาจกว่าเดิม
ไพรเมอร์ที่ผมกำลังจะแนะนำให้ทุกคนรู้จัก ขอเรียกว่าเป็นเพื่อนสนิทของรองพื้น มันคือ New Primer Plus Collection ออกมาทีเดียว 4 สูตรเลย ข้อดีคือเป็นไพรเมอร์ที่ทำให้ผู้หญิงไม่ต้องมากังวลว่าควรเลือกอะไรให้เข้ากับสภาพผิวของตัวเองอีกต่อไป คุณจะเป็นคนกำหนดเองว่าวันนี้ต้องการให้ผิวตัวเองเป็นแบบไหน แล้วไพรเมอร์เหล่านี้จะช่วยให้ผู้หญิงแต่งผิวในแบบที่อยากได้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผู้หญิงอาจจะต้องคำนึงถึงกฎการใช้รองพื้นใช่ไหม สูตรไหนเหมาะกับสภาพผิวแบบใด แต่ยุคนี้ไม่ใช่แล้ว นวัตกรรมความงามสร้างมาเพื่อทำให้ชีวิตของผู้หญิงง่ายขึ้นมาก คุณแค่มองหาเป้าหมายผิวในแบบที่คุณต้องการก็พอ แล้วไพรเมอร์ทั้ง 4 สูตรจะช่วยตามใจคุณเอง ไปรู้จักแต่ละสูตรกันเลย
Primer Plus Mattifier (1,500 บาท)
คำนิยามของไพรเมอร์รุ่นนี้ทำหน้าที่เหมือนเป็นกระดาษซับมันแบบลิควิด ช่วยอำพรางรูขุมขนและลดความมันส่วนเกินบนผิวโดยไม่ทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น มีคุณสมบัติพิเศษของแป้งดูดซับความมัน เวลาลงรองพื้นจึงไม่เป็นคราบ และไม่ทำให้รองพื้นเลอะเลือนระหว่างวัน สิ่งที่เรียกว่า Moisture Gel Complex จะล็อกความชุ่มชื้นไว้กับผิวได้ยาวนานด้วย เกลี่ยง่าย เนื้อสัมผัสเป็นซิลิกาเจล ไม่อุดตันรูขุมขน
Prime = สร้างความเรียบเนียน ช่วยเบลอรูขุมขนบนใบหน้า หรือเบลอริ้วรอยขนาดเล็กบนผิวได้ดี
Plus = สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือความแมตต์แบบสดชื่น ผิวจะเหมือนได้หายใจปลอดโปร่ง เป็นไพรเมอร์ที่ช่วยสร้างผลลัพธ์ของผิวแบบซอฟต์แมตต์ที่คงความเป็นธรรมชาติอยู่
Primer Plus Radiance SPF 35 (1,500 บาท)
คนอยากแต่งผิวให้ดูฉ่ำอิ่มน้ำแบบสาวเกาหลีต้องชอบ ไพรเมอร์สูตรนี้ช่วยสร้างความกระจ่างใสจากภายในสู่ภายนอก อุดมด้วยคุณค่าการบำรุงผิวจากสารสกัดของแตงกวา แอปเปิ้ล และ Scutellaria รวมถึงกาเฟอีนและชะเอมเทศ ทีเด็ดอยู่ที่ผงมุกเนื้อละเอียดและสารป้องกันแสงแดด ซึ่งเป็นส่วนผสมหลักของไพรเมอร์ด้วย
Prime = ให้ความเรียบเนียนและกระจ่างใส ได้อารมณ์เหมือนคนล้างหน้าเสร็จใหม่ๆ ผิวจะมีประกายความชุ่มชื้น คนผิวมันสามารถมีผิวแบบเกาหลีได้เพียงแค่เตรียมผิวด้วยไพรเมอร์สูตรนี้ก่อนลงรองพื้น
Plus = เพิ่มความมีเรเดียนซ์ให้ผิว ช่วยให้ผิวแลดูเปล่งประกาย กระจ่างใส เพราะประกายมุกที่เป็นส่วนผสมภายในไพรเมอร์จะช่วยปรับโทนสีผิวสำหรับคนที่มีปัญหาหน้าหมองระหว่างวัน ผลลัพธ์ของผิวที่ได้จะเป็นอิลลูมิเนติ้งแอนด์เนเชอรัลโกลว ให้ความมีแสงและเงา เป็นธรรมชาติ เหมาะกับสาวๆ ที่ชอบถ่ายเซลฟีมากๆ เพราะผิวจะดูผ่องสวยตลอดเวลา
Primer Plus Protection SPF50 (1,500 บาท)
ผู้หญิงมักจะบอกว่าอย่างนี้ ในเมื่อสังเกตเห็นว่าค่า SPF มีเยอะอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ครีมกันแดดก็ได้ใช่ไหม สำหรับคนที่คิดว่าผิวตัวเองไวต่อแสงมากควรจะเลือกทากันแดดตั้งแต่ตอนแรกของการบำรุงผิวไปเลย แล้วค่อยตามด้วยไพรเมอร์ที่ผสมสารกันแดดอีกที แม้ในไพรเมอร์จะมีสารป้องกันแสงแดดอยู่ด้วย แต่เมืองไทยเป็นประเทศที่แดดแรง จึงแนะนำว่าบำรุงผิวตามสเตปไปเลย คนผิวไวต่อแสงจึงไม่ควรพึ่งสารกันแดดที่อยู่ในไพรเมอร์เพียงอย่างเดียว แนะนำให้ทาครีมกันแดดเป็นปกติก่อนจะไปสเตปต่อไป ส่วนคำจำกัดความของไพรเมอร์ตัวนี้คือกันแดด น้ำหนักเบา สบายผิว
Prime = ช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน ดูอิ่มเอิบ พร้อมสำหรับการลงรองพื้นในขั้นตอนต่อไป
Plus = เพิ่มการปกป้องรังสี UVA และ UVB ไม่ให้ทำร้ายผิว และเป็นไพรเมอร์ที่ล็อกความชุ่มชื้น ทำให้ผิวไม่แห้ง ผลลัพธ์ที่ได้คือผิวดูอิ่มน้ำ สุขภาพดี
Primer Plus Hydrating 3-in-1 Setting Spray (1,350 บาท)
สำหรับขั้นตอนสุดท้าย นี่คือสเปรย์ที่ให้ความชุ่มชื้น เพรบ เซต และรีเฟรชผิวระหว่างวันในขั้นตอนเดียว อุดมด้วยวิตามินและสารสกัดจากพืชธรรมชาติทั้งคาโมมายล์ แตงกวา ชาเขียว และกาเฟอีน ช่วยปลอบประโลมผิวให้ผ่อนคลาย
Prime = ละอองน้ำของสเปรย์จะช่วยให้เครื่องสำอางเซตตัวและดูสดชื่นตลอดเวลาหลังแต่งหน้าเสร็จ
Plus = เป็นการพลัสที่มีประโยชน์ต่อผิวมาก เพราะมีวิตามินบำรุงผิวมากมายเป็นส่วนผสม ผลลัพธ์ของผิวที่ได้จะเป็นผิวแบบสุขภาพดีและสดชื่น
Photo: Courtesy of Bobbi Brown