วันนี้ (31 มกราคม) คารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กรมควบคุมมลพิษ ร่วมกับกองบังคับการตำรวจจราจร กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม ขานรับนโยบายรัฐบาลในการดำเนินมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษประเภทรถยนต์
โดยเฉพาะการตรวจจับและระงับการใช้ยานพาหนะที่ปล่อยควันดำเกินมาตรฐาน ทั้งรถยนต์ส่วนบุคคล รถบรรทุก รถโดยสารประจำทางที่เป็นของหน่วยงานรัฐ และรถร่วมบริการ ผ่านการปรับปรุงการบังคับใช้กฎหมายตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จราจรทางบก และ พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 อย่างเข้มข้น
การปรับระเบียบใหม่ดังกล่าวเป็นการแก้ไขสาระสำคัญ เนื่องจากพบว่ามีการนำรถที่มีปัญหาควันดำซึ่งถูกติดสติกเกอร์ ‘ห้ามใช้ชั่วคราว’ มาวิ่งบนถนน โดยให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจด้วยการออกคำสั่ง ‘ห้ามใช้ชั่วคราว’ ให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองยานพาหนะที่มีควันดำเกินมาตรฐานต้องนำรถไปปรับปรุงแก้ไข และนำรถมายกเลิกคำสั่งภายในระยะเวลา 15 วัน นับแต่ถูกสั่งห้ามใช้ชั่วคราว จากเดิมที่กำหนดภายในระยะเวลา 30 วัน และเมื่อพ้นกำหนด 15 วันแล้ว ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจวัดควันดำจากรถ และดำเนินการต่อไปตามแต่กรณี ได้แก่
- กรณีไม่เกินมาตรฐาน พนักงานเจ้าหน้าที่จะยกเลิกคำสั่งห้ามใช้ยานพาหนะชั่วคราว และนำเครื่องหมายห้ามใช้ชั่วคราวออกจากยานพาหนะ
- กรณีเกินกว่ามาตรฐาน พนักงานเจ้าหน้าที่จะออกคำสั่งห้ามใช้ยานพาหนะเด็ดขาด เจ้าของหรือผู้ครอบครองต้องขออนุญาตเคลื่อนย้ายยานพาหนะ เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขสภาพเครื่องยนต์
“การกำหนดระยะเวลาให้เจ้าของรถที่ปล่อยควันดำเกินมาตรฐานต้องนำรถไปปรับปรุงภายใน 15 วัน (จากเดิม 30 วัน) จะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวมีเป้าหมายสำคัญเพื่อลดการก่อมลพิษและปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 อีกทั้งเป็นการลดระยะเวลาในการปรับปรุงเครื่องยนต์ เพื่อเร่งให้เจ้าของรถดำเนินการแก้ไขโดยเร็ว ลดการเพิกเฉยต่อคำสั่งห้ามใช้ ช่วยลดโอกาสที่ผู้ขับขี่จะนำรถที่ถูกสั่งห้ามใช้ออกมาวิ่งบนถนนในช่วงที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข และอาจถูกยกเลิกทะเบียนในการใช้ยานพาหนะดังกล่าว” คารมกล่าว