Black Knight ซีรีส์ว่าด้วยเรื่องของเหล่าอัศวินที่เป็นความหวังของมวลมนุษยชาติ เมื่อโลกอนาคตกำลังล่มสลายจากมลพิษทางอากาศ ผู้คนที่มีสถานะทางสังคมดีกว่า ก็มีโอกาสมากกว่าในการหนีลงไปอาศัยอยู่ใต้ดิน ปล่อยให้ผู้ลี้ภัยที่มีสถานะไม่ต่างอะไรจากคนชายขอบ ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดบนพื้นดิน กับความอดอยาก ขาดแคลน และไร้ซึ่งอากาศบริสุทธิ์ที่พอจะใช้หายใจ

เหล่าอัศวินดำ หรือ Black Knight คือคนส่งของของ CM Group หน้าที่ของพวกเขาคือนำออกซิเจนและสิ่งของจำเป็นในการดำรงชีวิตไปส่งให้ผู้รับ โดยหลักใหญ่ใจความคือ ในเวลากลางวัน พวกเขาเป็นคนส่งของธรรมดา แต่ในเวลาค่ำคืน พวกเขาจะออกช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่กำลังเดือดร้อน

ประเด็นหลักที่ซีรีส์ Black Knight บอกเล่าก็ไม่ต่างจากต้นฉบับเว็บตูนของนักเขียนอียุนคยุน โลกใบนี้จะมีคนเพียง 1% ที่ได้ครอบครองและมีอำนาจในการใช้ทรัพยากรที่มีจำกัด การยึดอำนาจนี้ไว้จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้เหล่า Black Knight ต้องการต่อต้าน และมอบความยุติธรรมคืนให้กับประชาชนทุกคน

และเพื่อเพิ่มอรรถรสการรับชม เราได้รวบรวมประเด็นควรรู้จากซีรีส์ Black Knight มาให้แล้ว

โลกทะเลทราย วิกฤตอากาศ และการมีชีวิตบนผืนดิน

ฉากหลังของซีรีส์ Black Knight ฉายให้เห็นโลกอนาคตในปี 2071 ที่ย่อยยับจากมลพิษทางอากาศ กรุงโซลกลายเป็นทะเลทราย และเต็มไปด้วยฝุ่นพิษที่หากไม่สวมหน้ากากออกซิเจน จะทำให้ป่วยและเสียชีวิตได้ในเวลาอันรวดเร็ว 

ความอยู่รอดของผู้คน จึงขึ้นอยู่กับออกซิเจนที่มีอยู่อย่างจำกัด เหล่า ‘Black Knight’ คือกลุ่มบุคคลสำคัญ พวกเขาเป็นคนส่งออกซิเจนไปยังที่พักอาศัยซึ่งมีการแบ่งออกเป็นเขตต่างๆ

พื้นที่บนพื้นดินกลายเป็นความเลวร้ายที่สุด เพราะแทบไม่มีออกซิเจนเหลืออยู่แล้ว เป็นพื้นที่สำหรับผู้ลี้ภัย ส่วนพื้นที่ใต้ดิน ได้มีการปรับให้อยู่อาศัยได้สะดวกสบาย และปลอดภัยจากอากาศเป็นพิษ ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับพลเมืองชั้นสูง ยิ่งใต้ดินลึกเท่าไร ยิ่งสะท้อนสถานะทางสังคมที่สูงมากขึ้นไปเท่านั้น

ความเหลื่อมล้ำ คีย์เมสเสจซีรีส์เกาหลี

Black Knight พยายามถ่ายทอดการต่อสู้ระหว่างสองฝ่าย สะท้อนความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยแบ่งเป็น

• ฝ่ายของผู้ลี้ภัยที่อยู่ในสถานะต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ไม่มีโอกาสอยู่อาศัยในเขตควบคุมด้วยซ้ำ 
• คนส่งของ หรือ Black Knight เป็นสถานะกลางที่เป็นทางเดียวในการยกระดับสถานะของผู้ลี้ภัย
• ส่วนพลเมืองที่มี QR Code ในการยืนยันตัวตน ก็ยังมีการแบ่งระดับตามสถานะทางสังคม ซึ่งไม่ต่างอะไรกับสังคมที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้ 
• ฝ่ายทหาร และรัฐบาล ที่มีหน้าที่ในการบริหารและดูแลบ้านเมือง 
• ฝ่ายพลเมืองชั้นสูงสุด ในที่นี้คือเจ้าของ CM Group ที่มีอำนาจชี้เป็นชี้ตายผู้คน

ซีรีส์เกาหลีเน้นย้ำประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำในสังคมมาโดยตลอด ตัวอย่างที่เห็นชัดๆ อย่างเช่น Parasite, Mr. Sunshine, Itaewon Class, Queen Maker จนคล้ายๆ เป็นท่าบังคับไปแล้วว่าเอกลักษณ์คอนเทนต์เกาหลีคือการสอดแทรกประเด็นความไม่เท่าเทียม ความเหลื่อมล้ำที่คนมีเงินมีอำนาจเพียง 1% ที่ได้ถือครองทุกอย่าง และทำอย่างไรที่โลกจะกลับมาเท่าเทียมได้จริงเสียที

QR Code สัญลักษณ์แห่งสถานะ และชีวิตที่ดีกว่า 

QR Code บนหลังมือของพลเมือง มองด้านหนึ่งก็เหมือนเป็นสัญลักษณ์ว่ามีตัวตนที่รัฐจะมอบชีวิตที่ดีกว่า แต่ถึงอย่างนั้น ก็ใช่ว่าการมี QR Code จะเป็นการการันตีถึงชีวิตที่ดีไปตลอดกาล เพราะเจ้า QR Code เหล่านี้คือกับดักอย่างหนึ่งที่ทำให้ ซองมยองกรุ๊ป หรือ CM Group คล้ายๆ เป็นเจ้าของชีวิตเรา ควบคุม ติดตาม เก็บข้อมูลของเราทั้งหมดเอาไว้ในกำมือ 

และประเด็นของ CM Group ที่เป็นกลุ่มธุรกิจผูกขาดขนาดใหญ่ก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะ CM Group ที่เราได้เห็นในซีรีส์ Black Knight มีอำนาจคล้ายๆ พระเจ้าเลยทีเดียว ด้วยการเป็นผู้ครอบครองออกซิเจน จึงมีอำนาจในการชี้เป็นชี้ตายและต่อรองกับทุกภาคส่วน ถ้าสังเกตดีๆ ในซีรีส์จะปรากฏโลโก้ CM อยู่เต็มไปหมด ย้ำเตือนได้ว่านี่แหละคือผู้ทรงอิทธิพลและมีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับรัฐบาล สะท้อนภาพการเมืองการปกครองในทุกวันนี้ได้ดี ว่าอำนาจ เส้นสาย และเงินทอง ยังคงแยกจากกันไม่ขาด

คนส่งของ สถานะกลาง หน้าที่ช่วยชีวิต

คนส่งของในซีรีส์ Black Knight ก็คือคนทำหน้าที่ส่งออกซิเจน และสิ่งของสำคัญในการดำรงชีวิตไปยังพลเมือง ซึ่ง Black Knight ทำงานภายใต้ CM Group อีกที คนส่งของต้องแข็งแรง ว่องไว ต่อสู้ ขับรถ มีไหวพริบ รวมทั้งความสามารถรอบด้าน เพื่อให้ออกซิเจนและของสำคัญต่างๆ ปลอดภัยจากการถูกปล้นระหว่างทาง 

เพราะฉะนั้น คนส่งของในเรื่องราวจึงมีความสำคัญ และเป็นไอดอลของผู้คน โดยเฉพาะกับเด็กๆ ผู้ลี้ภัยที่รู้ดีว่า การได้รับคัดเลือกเป็น Black Knight คือหนทางสู่การยกระดับสถานะตัวเอง จากผู้ลี้ภัยให้มี QR Code บนหลังมือได้เหมือนพลเมืองคนอื่นๆ

และการจะขึ้นเป็น Black Knight ได้ก็ต้องผ่านด่านการทดสอบมากมาย ซึ่งในเรื่องราวจะดำเนินผ่านคนส่งของ ‘5-8’ ที่เลือกจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยการตั้งกลุ่มอัศวินดำขึ้นมา

The Gates of Hell มนุษย์กลายพันธุ์เพื่อชีวิตอมตะ

รยูซอก หัวหน้าของ CM Group เขาเป็นคนที่มีอำนาจในการคัดเลือกประชากร 1% ที่จะได้เข้ามาอาศัยใต้ดิน แม้ว่าผู้ลี้ภัยจำนวนมากมายจะมองว่ามันไม่ยุติธรรมเลยกับพวกเขา แต่สำหรับรยูซอกที่เป็นผู้ยึดครองอากาศบริสุทธิ์ก็ไม่ได้สนใจในสิ่งนี้ เพราะแม้กระทั่งผู้ลี้ภัยเอง ต่างก็แย่งชิงเข้าแข่งขันเพื่อให้ได้เป็น ‘คนส่งของ’ ก็เพราะอยากจะมีชีวิตที่ดีกับเขาเหมือนกัน

ในซีรีส์ Black Knight เราจะได้เห็นห้องทำงานของรยูซอก ที่ด้านหลังเป็นงานศิลปะชื่อดังที่มีชื่อว่า The Gates of Hell ผลงานชิ้นเด่นของโรแดง จริงๆ แล้วผลงานประตูนรกชิ้นนี้ สร้างหลังจากผลงาน Gate of Paradise ของโลเรนโซ กีแบร์ตี แต่ที่น่าสนใจก็คือ ทำไมรยูซอกเลือกประตูนรกแทนที่ประตูสวรรค์ ทั้งๆ ที่ใต้ดินอันอุดมสมบูรณ์นั้นควรจะมีสัญลักษณ์เป็นประตูสวรรค์แท้ๆ แน่นอนว่าช่วงครึ่งหลังของซีรีส์มีคำตอบ

Black Knight ซีรีส์ไซไฟแอ็กชัน พาเราเดินทางไปยังโลกอนาคตที่ไม่ไกลเกินคาดคิด เพราะด้วยสถานการณ์โลกร้อน รวมถึงมลพิษในอากาศที่รุนแรงขึ้นทุกวัน ก็อาจเป็นไปได้ที่ชีวิตเราจะต้องสวมหน้ากากออกซิเจนกันจริงๆ และเช่นเดียวกัน การได้เข้าถึงทรัพยากรก็ยังคงเป็นคนกลุ่มเดียว ส่วนประชาชนที่เหลือก็เป็นเพียงฝุ่นผง เป็นเพียงฐานเสียงเพื่อประโยชน์ของคนกลุ่มเดียวนั้นในการมีสิทธิ์ยึดครองอำนาจต่อไป

ช่วงท้ายของซีรีส์เราจะได้เห็นชัดถึงประเด็นสังคมข้อนี้ และอาจนึกสะท้อนใจกลับมายังบ้านเกิดเมืองนอน ที่เรา/ประชาชน ต่างตกเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจ และเราเองก็ยังไม่มี Black Knight หรือกลุ่มคนที่พร้อมลุกขึ้นสู้เพื่อเรียกคืนความยุติธรรมอย่างเป็นทางการ

อ่านต่อ: สัมภาษณ์ คิมอูบิน และทีมนักแสดงซีรีส์ Black Knight เมื่อโลกอนาคต คนเพียงกลุ่มเดียวยังเป็นฝ่ายครองอำนาจ!