เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ The New York Times ของสหรัฐฯ รายงานว่า ราคาของเงินดิจิทัลที่ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจนทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เหนือความคาดหมายในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา นับเป็นรางวัลที่คุ้มค่าแก่นักลงทุนบิตคอยน์หลายราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนบิตคอยน์ในยุคแรกๆ ที่บิตคอยน์เปิดตัวสู่ตลาด หรือเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว
เพราะนั่นหมายความว่า เมื่อคิดคำนวณจากมูลค่าบิตคอยน์ในปัจจุบัน ซึ่งแม้จะปรับตัวลดลงมาจากราคาสูงสุดบ้างแล้ว ก็ยังมากพอที่จะผลักดันให้หลายคนขึ้นแท่นกลายเป็นเศรษฐีหน้าใหม่ได้ไม่ยาก
อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่า บรรดาว่าที่เศรษฐีหน้าใหม่เหล่านี้ส่วนหนึ่งกลับประสบปัญหาสำคัญที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจให้ความช่วยเหลือได้ เพราะเจ้าตัวดันลืมรหัสผ่าน หรือพาสเวิร์ด ในการเข้าถึงดิจิทัลวอลเล็ตที่เก็บรักษาบิตคอยน์ของตนเอง
เรียกได้ว่าเห็นเงินกองอยู่ตรงหน้าแต่แตะต้องไม่ได้ และแม้จะมีโอกาสให้ทายรหัสผ่านได้ 10 ครั้ง แต่การลืมอย่างไรก็คือการลืม กระทั่งทำให้ว่าที่มหาเศรษฐีหน้าใหม่เหล่านี้ส่วนหนึ่งต้องเลือกระหว่างการทายให้สุดแล้วหยุดตรงที่ทายผิดหมดแล้วสูญเสียบิตคอยน์ไปตลอดกาล หรือปล่อยทิ้งไว้จนลืมไปอย่างนั้น รอจนกว่าที่ระบบจะพัฒนาจนมีหนทางรีเซ็ตพาสเวิร์ด
สำหรับกรณีของ Stefan Thomas โปรแกรมเมอร์ชาวเยอรมนีที่อาศัยอยู่ในซานฟรานซิสโกของสหรัฐฯ ที่พยายามเดาพาสเวิร์ดเข้า IronKey ดิจิทัลวอลเล็ตที่เก็บบิตคอนย์ที่ซื้อทิ้งไว้เมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว และมีมูลค่าในปัจจุบันที่ 220 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 6.6 พันล้านบาท เหลือโอกาสในการทายพาสเวิร์ดเพียง 2 ครั้งเท่านั้น และแม้ว่าเจ้าตัวจะรอบคอบด้วยการจดรหัสผ่านลงบนกระดาษกันลืมอย่างดี แต่กลับทำกระดาษที่จดไว้หายไป
ทั้งนี้ข้อมูลจาก Chainalysis พบว่า จากปริมาณบิตคอยน์ทั้งหมด 18.5 ล้านบิตคอยน์ ประมาณ 20% หรือที่ราว 140,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อยู่ในบัญชีดิจิทัลวอลเล็ตที่เจ้าของดันลืมรหัสผ่าน ขณะที่ Wallet Recovery Services บริษัทผู้ให้บริการช่วยเหลือเพื่อค้นหารหัสผ่านดิจิทัลที่ลืมหรือหายไประบุว่า ขณะนี้มีคำร้องขอให้ช่วยค้นหารหัสผ่านเข้ามากถึง 70 คำร้องต่อวัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าถึงสามเท่า โดยส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่ซื้อบิตคอยน์ทิ้งไว้นานแล้วตั้งแต่ช่วงที่บิตคอยน์เปิดตัวออกมาใหม่ๆ แล้วยังไม่มีใครสนใจหรือได้รับความนิยมอย่างทุกวันนี้
สภาพการณ์ที่เกิดขึ้นกลายเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงข้อดีของบิตคอยน์และเงินดิจิทัลที่ถือกำเนิดขึ้นมาโดยมีเป้าหมายเพื่อให้คนทุกคนสามารถเป็นเจ้าของธนาคารของตนเอง และระบบคอมพิวเตอร์กับเทคโนโลยีจะมีความซับซ้อนมากพอที่ทำให้สามารถสร้างที่อยู่กับ Private Key ที่รู้เฉพาะคนที่สร้างวอลเล็ตเท่านั้น และไม่มีระบบเก็บสำรองรหัสผ่าน ทำให้ไม่มีระบบการกู้คืนใดๆ ดังนั้นการเก็บรักษาเงินในธนาคารของตนเองจึงมีความปลอดภัยสูง แต่ก็เป็นปัญหาชวนปวดใจสำหรับคนขี้ลืมนั่นเอง
ขณะเดียวกันลักษณะดังกล่าวของเงินดิจิทัลก็เป็นตัวดึงดูดเหล่ามิจฉาชีพทั้งหลายให้เข้ามาทำธุรกรรม เพราะสามารถปกปิดอัตลักษณ์ตัวตนของตนเองได้ ทำให้ยากต่อการตรวจสอบ
กระนั้นข้อเสียดังกล่าวก็ไม่ได้ทำให้ความนิยมในบิตคอยน์และเงินดิจิทัลอื่นๆ ลดลงแต่อย่างใด และทำให้เกิดธุรกิจสตาร์ทอัพที่จะเข้ามาบริหารจัดการ Private Key ให้สำหรับคนที่ขี้ลืมทั้งหลาย
อย่างไรก็ตาม ในกรณีของโปรแกรมเมอร์หนุ่มชาวเยอรมนี ทางเดียวที่ทำได้ในขณะนี้ก็คือรอเท่านั้น
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง: