สถานีโทรทัศน์ CNN รายงานว่าราคาสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างบิตคอยน์ในปีนี้ยังคงความร้อนแรง โดยล่าสุดขยับปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดตลอดกาลที่ 49,714.66 ดอลลาร์สหรัฐ (กว่า 1.46 ล้านบาท) เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก่อนที่จะขยับปรับลงมาเล็กน้อย กระนั้นในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ราคาบิตคอยน์มีการขยับปรับตัวขึ้นแล้วเฉลี่ย 4%
รายงานระบุว่านับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ราคาบิตคอยน์ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้วประมาณ 70% ส่วนหนึ่งได้อานิสงส์จากนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่รักษาอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำ กดค่าเงินดอลลาร์สหรัฐให้อ่อนลง ทำให้นักลงทุนมองหาสินทรัพย์ลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า และหนึ่งในนั้นก็คือบิตคอยน์
นอกจากนี้บิตคอยน์ยังได้แรงหนุนสำคัญจากการที่บริษัทชั้นนำยักษ์ใหญ่หลายแห่งแสดงความสนใจเข้ามาลงทุน ซึ่งรวมถึง Tesla Inc. ค่ายผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของสหรัฐฯ ที่ประกาศลงทุน 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในบิตคอยน์ พร้อมประกาศเตรียมเปิดทางให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าของบริษัทด้วยบิตคอยน์แทนเงินสดได้
ขณะที่ทาง Mastercard ผู้ให้บริการชำระเงินผ่านบัตรรายใหญ่ของโลก ยังออกมาประกาศเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าทางบริษัทเตรียมให้การสนับสนุนคริปโตเคอร์เรนซีบางตัวบนเครือข่ายของบริษัทโดยตรงภายในปีนี้ หลังจากที่ทาง Square กับ PayPal เพิ่งจะอนุญาตให้ลูกค้าซื้อขายแลกเปลี่ยนบิตคอยน์บนแพลตฟอร์มของตน
สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่าความสนใจที่บิตคอยน์ได้รับจากบรรดาบริษัทชั้นนำในตลาดวอลล์สตรีททำให้ราคาบิตคอยน์อยู่ในช่วงขาขึ้น ซ้ำยังมีแนวโน้มที่จะขยับขึ้นอีก หลัง Counterpoint Global บริษัทลูกด้านการลงทุนของ Morgan Stanley สถาบันการเงินชั้นนำในสหรัฐฯ กำลังพิจารณาลงทุนในบิตคอยน์ ซึ่งหากทางบริษัทตัดสินใจลงทุนก็จำเป็นจะต้องขออนุญาตจากหน่วยงานรัฐเสียก่อน
อย่างไรก็ตาม แม้บิตคอยน์จะได้รับความสนใจจนมีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างสดใส แต่นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งก็ออกโรงเตือนถึงความเสี่ยงในการทุ่มลงทุนในบิตคอยน์ไม่ได้ โดย แอนโทนี สการามุชชี ผู้ก่อตั้ง SkyBridge Capital เตือนให้นักลงทุนระวังโอกาสที่จะเกิดภาวะฟองสบู่แตกในบิตคอยน์ที่ทำให้ราคาร่วงลงทันที 20-50%
ขณะที่นักวิเคราะห์อีกส่วนหนึ่งอย่าง นาซิม นิโคลัส ทาเลบ ผู้ประพันธ์หนังสือเรื่อง The Black Swan กล่าวว่า ด้วยความที่บทบาทของบิตคอยน์ในฐานะสกุลเงินยังขาดความชัดเจน และในฐานะสกุลเงิน (Currency) สิ่งที่จำเป็นต้องมีก็คือเสถียรภาพของราคา ซึ่งบิตคอยน์ไม่สามารถให้ได้ อีกทั้งบิตคอยน์ยังมีส่วนพัวพันกับปัญหาการฉ้อโกงและการฟอกเงิน
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง: