เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (4 ธันวาคม) Bloomberg ออกมาประเมินว่า Bitcoin อาจพุ่งแตะ 500,000 ดอลลาร์ได้ หลังจากที่มีการปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจนแตะ 42,000 ดอลลาร์ และ 44,000 ดอลลาร์ได้สำเร็จ และชี้ว่านี่อาจเป็นสัญญาณของต้นรอบในตลาดกระทิงรอบหน้าก็เป็นได้
ทั้งนี้ เมื่อวันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม ราคา Bitcoin ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และไต่ระดับขึ้นแตะ 44,000 ดอลลาร์เมื่อวานนี้ (5 ธันวาคม) ได้สำเร็จ ซึ่งนับเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 44,000 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี 8 เดือน (นับจากเดือนเมษายน 2022)
โดยในช่วงปี 2023 นี้ นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (YTD) Bitcoin สามารถทำผลตอบแทนได้ 150% ซึ่งคาดว่ามาจากการเก็งกำไรล่วงหน้าของนักลงทุนต่อข่าวกองทุนหลายแห่งที่กำลังยื่นขออนุมัติ Spot Bitcoin ETF จาก ก.ล.ต.สหรัฐฯ ในขณะนี้ ซึ่งอาจทำให้มีเงินทุนหลายพันล้านดอลลาร์หลั่งไหลมาที่ Bitcoin ในอนาคต
แต่ถึงอย่างนั้นเอง ณ ระดับราคาของ Bitcoin ในปัจจุบัน ก็ยังต้องปรับตัวขึ้นไปอีก 65% เพื่อให้กลับไปที่จุดสูงสุดเดิมในช่วงปี 2021 ที่ราว 69,000 ดอลลาร์ เช่นกัน
ในขณะที่ ไบรอัน อาร์มสตรอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Coinbase ก็ได้ออกมาแสดงความเห็นผ่าน X ว่า Bitcoin อาจเป็นหมุดหมายของการขยายอารยธรรมตะวันตกเลยก็เป็นได้
ทำให้ทาง Bloomberg ประเมินว่า มูลค่าของ Bitcoin ในระยะยาวอาจเป็นช่วงกว้างๆ ตั้งแต่ 50,000 ดอลลาร์ ไปจนถึง 530,000 ดอลลาร์
แต่กระนั้นเอง สำนักข่าว Finbold ก็ชี้ว่า การที่ Bitcoin สามารถปรับตัวขึ้นได้อย่างรุนแรงในช่วงปี 2021-2022 เป็นเพราะสภาพคล่องที่มีมหาศาลในโลก ณ ขณะนั้น จากการพิมพ์เงินของธนาคารกลาง และภาวะดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ
ซึ่งเป็นสถานการณ์แตกต่างในปัจจุบัน (ปี 2023) อยู่ค่อนข้างมาก ทั้งระดับอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง สภาพคล่องที่หดตัวลง และภาวะสงครามระหว่างประเทศ ทำให้นักลงทุนอาจต้องระมัดระวังในการเก็งกำไรเช่นกัน
อ้างอิง: