‘บ้าไปแล้ว!’ อาจเป็นคำอุทานของบรรดานักลงทุนและผู้ที่ติดตามข่าวสารเงินดิจิทัลอย่าง ‘Bitcoin’ อย่างใกล้ชิด เพราะเมื่อเกือบสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาพุ่งสูงสุดแตะ 19,349 เหรียญ หรือเกือบ 632,000 บาทต่อ 1 Bitcoin ซึ่งถือว่าเกินกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์เอาไว้ แต่ไม่นานจากนั้นราคาก็ดิ่งลง 20% มาอยู่ที่ 15,198.63 เหรียญ หรือราว 511,000 บาท เนื่องจากความกังวลเรื่องฟองสบู่ที่ทำให้ราคาสูงเกินจริงของนักลงทุนในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
ปฏิเสธไม่ได้ว่าปรากฏการณ์ของ Bitcoin นี้ทำให้บรรดานักลงทุนตื่นตะลึงและสื่อด้านการเงินทุกสำนักก็เกาะติดความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด แม้จะมีผู้ที่ออกมาเตือนเรื่องฟองสบู่ Bitcoin แต่ก็ดูเหมือนบรรดานักเก็งกำไรยังวิ่งเข้าหา Bitcoin และผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เกี่ยวข้องอย่างไม่ขาดสาย
ไม่มีใครบอกได้แน่นอนว่าฟองสบู่ Bitcoin จะแตกหรือไม่ หากแต่สำนักข่าว THE STANDARD มีอีกมุมมองของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องนี้
ราคาสูงผิดปกติ โอกาสฟองสบู่แตกต้นปี 2561 สูงมาก
อย่างไรก็ตาม ราคาล่าสุดในช่วงเช้าของวันนี้ (12 ธ.ค.) อยู่ที่ 16,658.56 เหรียญ หรือราว 560,000 บาทต่อ 1 Bitcoin ปรับเพิ่มขึ้นจากจุดที่ตกลงมา และนักวิเคราะห์มองว่าราคาจะทะลุ 17,000 เหรียญได้สบาย เพราะยังมีนักเก็งกำไรที่อยากเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง
‘วิศรุต ศรีเศวต’ CEO Enterprise Open-Source Solution ของ EOSS-TH ให้ข้อมูลกับสำนักข่าว THE STANDARD โดยเชื่อว่าเราจะเห็นฟองสบู่ Bitcoin แตกในปี 2561 หากพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงด้านราคาของเงินดิจิทัลนี้เปรียบเทียบกับช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา จะพบอัตราการเติบโตที่สูงจนน่าตกใจดังนี้
จะเห็นว่าอัตราแลกเปลี่ยนของ Bitcoin เมื่อเดือนธันวาคม 2559 ยังอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1,000 เหรียญเท่านั้น หากเทียบกับราคาในปัจจุบันที่สูงกว่า 16,000 เหรียญ นั่นคือราคาเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 16 เท่าตัว เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนของอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน
แม้จะเป็นช่วงที่ทุกคนต่างกังวลเรื่องฟองสบู่เงินดิจิทัลและเชื่อมโยงกับ ‘วิกฤตดอกทิวลิป’ ที่เคยสั่นสะเทือนโลกเมื่อเกือบ 400 ปีก่อน วิศรุตเห็นว่าเป็นคนละเรื่องกัน เพราะเงินดิจิทัลมาพร้อมกับเทคโนโลยี ซึ่งสามารถใช้แลกเปลี่ยนทำธุรกรรมกันได้โดยไม่ผ่านตัวกลางดั้งเดิมแบบธนาคาร แม้ว่าจะเกิดฟองสบู่แตกขึ้น สุดท้ายก็ยังจะเหลือเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมด้านการเงินนี้อยู่ ซึ่งถือเป็นประโยชน์กับคนจำนวนมาก
Bitcoin ไม่ไกลตัวคนไทย แนะนำใจไม่ถึงอย่าเพิ่งเสี่ยง
สำหรับประเทศไทย Bitcoin ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เพราะเริ่มมีนักลงทุนรายย่อยให้ความสนใจมากขึ้น เมื่อสื่อต่างๆ นำเสนออย่างต่อเนื่องก็ยิ่งได้รับความสนใจมากขึ้น กระทั่งผู้สูงอายุบางส่วนที่มีเงินเก็บก็ยังหันมาเสี่ยงเก็งกำไร ลักษณะการหาประโยชน์จาก Bitcoin วิธีการดั้งเดิมคือการ ‘ขุด Bitcoin’ ซึ่งต้องใช้คอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง ความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนการคำนวณทางคณิตศาสตร์ที่สลับซับซ้อน ปัจจุบันมีเว็บตัวกลางที่ทำงานผ่านระบบคลาวด์ให้กับผู้ที่สนใจอยู่พอสมควร แต่จำนวนนักขุดในประเทศไทยอาจจะมีไม่มากนัก
อีกส่วนคือการซื้อขายแลกเปลี่ยน หรือการเทรด Bitcoin ซึ่งปัจจุบันสามารถทำได้ผ่าน 2 ช่องทางเท่านั้นคือ TDAX.com และ BX.in.th ซึ่งวิศรุตให้ข้อมูลว่า Bitcoin เป็นการลงทุนที่ไม่มีข้อมูลพื้นฐานทางการเงินเหมือนกับการลงทุนรูปแบบอื่นที่เราคุ้นเคย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการติดตามข้อมูลจากทั่วโลก ซึ่งบรรดาเว็บดังทั้งหลายเกาะติดเรื่องนี้อยู่แล้ว
ด้วยรูปแบบการลงทุนใหม่ๆ ที่สืบเนื่องจาก Bitcoin อย่างเช่น Bitcoin Cash หรือ Bitcoin Gold เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความต้องการถือเงินดิจิทัลเพิ่มสูงขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ขณะเดียวกันการเปิดขาย Bitcoin ในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือตลาดฟิวเจอร์สที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้น น่าจะเป็นตัวชะลอความร้อนแรงของราคา Bitcoin ได้พอสมควร เนื่องจากการลงทุนในตลาดฟิวเจอร์สนั้น ผู้ที่เก็งกำไรจะสามารถทำเงินได้ทั้งกรณีที่ราคาขึ้นหรือราคาตกลง วิศรุตเชื่อว่าจะทำให้ราคาขยับตัวในกรอบที่ชัดเจนมากขึ้นจากนี้ต่อไป
สำหรับคำแนะนำถึงนักลงทุน ขอให้ผ่านช่วงเดือนธันวาคมนี้ไปเสียก่อน เพื่อดูทิศทางของเงินดิจิทัลและการเปลี่ยนแปลงจากตัวเลือกการลงทุนที่เกี่ยวเนื่องกันในต้นปี 2561 หากรีบเข้าลงทุนในช่วงที่ราคาผันผวนโอกาสที่จะขาดทุนก็มีเยอะกว่า
สิ่งที่ย้ำเตือนคือ การมีสติในการลงทุน ในต่างประเทศมีทั้งกรณีของการให้กู้ยืมเงินเพื่อเก็งกำไรใน Bitcoin หรือบางกรณีเว็บไซต์บางแห่งก็ปิดตัวหนีไป หรืออาจอ้างว่าโดนแฮกข้อมูลในระบบ สุดท้ายผู้ที่ลงทุนก็ต้องสูญเสียผลประโยชน์ไปโดยที่ไม่สามารถหาใครรับผิดชอบได้
การลงทุนมีความเสี่ยง เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้ และถ้าคิดจะเล่นกับไฟ ใจก็ต้องถึงด้วย
Photo: AFP
อ้างอิง:
