ตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้คนส่วนใหญ่ในโลกเกิดความกังวลหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่รุนแรงและตึงเครียดขึ้นมากในปี 2019 ส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกเกิดความกังวลว่าจะเกิดเศรษฐกิจถดถอย เมื่อทั้งฝ่ายสหรัฐฯ และจีนเริ่มที่จะคุยกันรู้เรื่องผ่านทางโต๊ะเจรจาและหาข้อตกลงกันได้ ความกังวลในเรื่องเศรษฐกิจถดถอยก็ลดลงไป เมื่อความกังวลในเรื่องการค้าผ่านไปก็มาเจอกับความตึงเครียดในตะวันออกกลางระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่านเพิ่มขึ้นมาอีก ถือเป็นโชคดีของชาวโลกผู้ไม่เกี่ยวข้องที่ความตึงเครียดนี้จบลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ไม่เกิดผลกระทบอะไรมากมายนัก
แต่ปัญหาหนึ่งที่อยู่คู่กับโลกมาตลอดไม่จางหายไปเหมือนความกังวลและความขัดแย้งที่กล่าวมาคือเรื่องโลกร้อน เพราะไม่ว่าใครจะดีกันหรือทะเลาะกัน โลกก็ยังร้อนขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาที่ใหญ่หลวงและชัดเจนที่สุดคือเรื่องไฟป่าในประเทศออสเตรเลียที่ทำลายป่าไปแล้วกว่า 45 ล้านไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ใหญ่กว่าประเทศเบลเยียมและเดนมาร์กรวมกัน สัตว์ป่ามากกว่า 1,000 ล้านตัวได้รับผลกระทบ
ปัญหาไฟป่าในออสเตรเลียทำได้เพียงควบคุมเท่านั้น เนื่องจากเพิ่งเข้าสู่ช่วงกลางของฤดูร้อนในออสเตรเลีย ความร้อนของอากาศจะพุ่งขึ้นสูงสุดในช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ หลังจากนั้นจะค่อยๆ ปรับลดลง แต่ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาระยะยาวที่เกิดขึ้นทุกปีและมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เป็นปัญหาที่ไม่ใช่เพียงออสเตรเลียเท่านั้นที่จะต้องรับผิดชอบ แต่เป็นปัญหาที่ทั้งโลกต้องรับผิดชอบร่วมกัน
BlackRock บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารเกือบ 7 ล้านล้านดอลลาร์ ก็มีความตระหนักถึงปัญหานี้ด้วยเช่นกัน
แลร์รี ฟิงก์ ซีอีโอของบริษัท ได้ให้สัมภาษณ์ว่าทางบริษัทกำลังปรับมาตรฐานในการลงทุนใหม่แบบยกเครื่อง และกำลังจะออกกองทุนทั้งแบบ Active และ Passive โดยจะมุ่งเน้นในเรื่องความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล หรือ ESG (Environment, Social and Governance) นั่นเอง
ฟิงก์ได้เน้นย้ำว่าการลงทุนที่เน้นในเรื่องความยั่งยืนอย่าง ESG นั้นไม่ได้ส่งผลในด้านสังคมเท่านั้น แต่ส่งผลในด้านเศรษฐกิจด้วย ปัญหาโลกร้อนเป็นปัญหาระยะยาวและส่งผลกระทบในระดับสูง บริษัทต่างๆ คงไม่สามารถที่จะเมินเฉยต่อปัญหาเหล่านี้ เพราะมันกระทบกับเศรษฐกิจจริงๆ
ในฐานะที่ BlackRock เป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก นโยบายการลงทุนของบริษัทที่เปลี่ยนไปย่อมส่งผลกระทบและความเคลื่อนไหวต่อภาพการลงทุนจากนี้ไปอย่างแน่นอน ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าบริษัทที่อยู่ในดัชนี S&P 500 แต่ไม่ดำเนินนโยบายทางสังคมที่ดีพอ เม็ดเงินการลงทุนของกองทุนก็คงจะไม่ลดลง ราคาหุ้นก็ยากที่จะปรับเพิ่มขึ้นได้
ไม่ใช่แค่ฝ่ายบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนฝ่ายเดียวที่ตระหนักในเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องโลกร้อน ทางด้านนักลงทุนก็ตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้ด้วยเช่นกัน
จากการเปิดเผยของ BlackRock พบว่านักลงทุนมีคำถามเข้ามาที่บริษัทค่อนข้างมากถึงผลกระทบของโลกร้อนต่อการลงทุนและเศรษฐกิจ โดยนักลงทุนต้องการคำแนะนำและทางเลือกในการลงทุนที่จะช่วยลดความเสี่ยงของปัญหาเหล่านี้
ในปี 2020 ปัจจัยเรื่อง ESG จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นสำหรับบริษัทที่ทาง BlackRock จะเข้าลงทุน โดยเฉพาะกองทุนแบบ Active จะมีความสำคัญไม่แพ้ปัจจัยอย่างความสามารถในการจ่ายหนี้และสภาพคล่องของบริษัทเลยทีเดียว
ตัวอย่างบริษัทที่ทาง BlackRock จะไม่เข้าลงทุนคือบริษัทที่มีรายได้มากกว่า 25% จากธุรกิจถ่านหิน หรือใช้ถ่านหินมากกว่า 25% ในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งเชื่อว่าจะปรับพอร์ตเสร็จภายในกลางปี 2020
ด้านกองทุน ETF ทาง BlackRock มีแผนที่จะเพิ่มจำนวนกองทุนที่เน้นในเรื่อง ESG ขึ้นสองเท่า โดยตั้งเป้าไว้ 150 กองภายใน 3-4 ปีข้างหน้านี้
จากนี้ไปเรื่อง ESG คงจะเข้ามามีบทบาทในโลกของการลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเรารวยขึ้น มีเงินมากขึ้น มันคงจะไม่ใช่เรื่องดีถ้าอากาศและสภาพแวดล้อมต่างๆ เลวร้ายลงไปมาก ลูกหลานต้องมาเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย
ทุนนิยมและการใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เป็นเรื่องที่สามารถไปด้วยกันได้ กำไรอย่างพอดีๆ โดยที่ไม่ทำให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมทรามลงน่าจะเป็นเทรนด์ใหญ่ของบริษัทจดทะเบียนจากนี้ไป
กฎหมายควบคุมด้านสิ่งแวดล้อมที่มีบทลงโทษรุนแรงคงจะออกมามากขึ้น สำหรับเพื่อนๆ นักลงทุน เรื่อง ESG ก็คงเป็นอีกปัจจัยที่ต้องตระหนักถึงเช่นกันก่อนที่จะใส่เงินลงทุนเข้าไป การเน้นดูที่ผลกำไรและสัดส่วนทางการเงินที่สำคัญๆ คงจะไม่เพียงพอแล้ว และเชื่อว่าในอนาคตคงจะมีกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นที่มี ESG Score สูงๆ ออกมามากขึ้น
ทางด้านการลงทุนในต่างประเทศ ปัจจุบันมีกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นทั่วโลกที่มี ESG Score สูงอยู่เหมือนกัน กองทุนนั้นคือ K-Change เป็นกองทุน Feeder Fund ที่ลงทุนในกองทุน Baillie Gifford Positive Change Fund โดยเปิดให้นักลงทุนไทยได้ลงทุนกันในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2019 ที่ผ่านมา ระยะเวลา 7 เดือนในปี 2019 กองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 18.8% ถือว่าสูงมากเลยทีเดียว
ในขณะที่กองทุนหุ้นทั่วโลกให้ผลตอบแทนที่ระดับ 10-12% ส่วนดัชนี MSCI All Country World Index สร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 12% เทรนด์การลงทุนใน ESG เชื่อว่าจะเป็นเทรนด์การลงทุนระยะยาว หากสนใจลงทุนในกองทุนอย่าง K-Change สามารถลงทุนผ่านแอปพลิเคชัน Easy Invest ของทาง SCBS ได้เลย
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์