×

‘นักลงทุนรายใหญ่’ ไม่กังวลประเด็น ‘รัสเซีย-ยูเครน’ เชื่อมั่นหุ้นไทยกลับมาบวกในช่วงที่เหลือของปี

27.02.2022
  • LOADING...
นักลงทุนรายใหญ่

จากความเสี่ยงในเรื่องของสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนซึ่งทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นจากเหตุการณ์เข้าปะทะเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2565 ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับฐานลงอย่างหนัก เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลงประมาณ 2% ในวันนั้น โดยดัชนี SET ลดลงไปแตะระดับ 1,656.62 จุด 

 

ในมุมมองของนักลงทุนรายใหญ่และนักลงทุนที่มากประสบการณ์ในตลาดหุ้นไทย โดยรวมแล้วมองว่าความกังวลเรื่องของรัสเซียและยูเครนอาจจะไม่ขยายความรุนแรงไปมากนัก และเชื่อว่าหุ้นไทยจะกลับมาเป็นขาขึ้นได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ 

 

“ปีนี้น่าจะเป็นปีแห่งโอกาสสำหรับหุ้นไทยมากกว่า ส่วนตัวยังมองบวก” นิ้วโป้ง-อธิป กีรติพิชญ์ นักลงทุนหุ้นคุณค่ากล่าว “ที่ผ่านมาหุ้นไทยยัง Laggard ส่วนนักลงทุนต่างชาติก็เริ่มกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา” 

 

ปัจจัยสำคัญที่จะหนุนหุ้นไทยคือ การกลับมาเปิดประเทศ โดยเชื่อว่าในปีนี้ประเทศไทยจะเริ่มกลับมาเดินหน้ากิจกรรมทางเศรษฐกิจได้แบบที่ยุโรปกลับมาทำได้ตั้งแต่กลางปี 2564 ไม่ว่าจะเป็นกีฬา คอนเสิร์ต ศูนย์แสดงสินค้า รวมถึงการท่องเที่ยว 

 

สำหรับประเด็นรัสเซียและยูเครน เชื่อว่าจะไม่ยืดเยื้อ เพราะสงครามจะยืดเยื้อก็ต่อเมื่อกำลังทหารเท่ากัน แต่กรณีนี้ฝ่ายรัสเซียถือได้ว่าเป็น ‘Big 3’ ของโลก ทำให้สถานการณ์น่าจะจบเร็วและกลายเป็นแค่ Special Event และราคาน้ำมันที่พุ่งไปถึง 105 ดอลลาร์ก็อาจจะเป็นจุดสูงสุดของรอบนี้ไปแล้ว 

 

อธิปกล่าวต่อว่า การปรับพอร์ตในช่วงนี้คือการเข้าซื้อหุ้นที่ราคาถูกและอัปไซด์สูง ขณะเดียวกันก็ลดน้ำหนักหุ้นที่ขึ้นมาค่อนข้างมากแล้ว เช่น กลุ่มสื่อสาร ทั้งนี้ มองว่าหุ้นที่ยังมีโอกาสเติบโตได้คือ กลุ่มบริการที่อิงกับการเปิดประเทศ ขณะเดียวกันหากเชื่อว่าราคาน้ำมันผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว หุ้นอย่าง OR และ PTG จำเริ่มกลับมาได้ประโยชน์ นอกจากนี้กลุ่มธนาคารถือเป็นอีกกลุ่มที่น่าสนใจและน่าจะดีต่อได้ตามภาคเศรษฐกิจจริง แต่ก็อาจจะเสียเปรียบอยู่บ้างเพราะราคาขึ้นมาพอสมควร 

 

นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนหุ้นคุณค่ารายใหญ่อีกราย เปิดเผยว่า โดยส่วนตัวไม่ได้ปรับพอร์ตใดๆ เลย และเป็นเรื่องปกติที่มักจะไม่ปรับพอร์ตบนภาวะเช่นนี้ แต่ก็ต้องประเมินในแง่ของโอกาสและความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา สำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้ราคาหุ้นดูเหมือนจะลดลงมารับข่าวไปพอสมควร แต่ก็ไม่ได้รุนแรงจนถึงขนาดที่มีความน่าสนใจอย่างมาก 

 

“การลงของราคาในรอบนี้ดูเหมาะสมกับเหตุการณ์ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นแพนิกมากจนเกิดเป็นโอกาส ทำให้ในรอบนี้โดยส่วนตัวแล้วไม่ได้ทำอะไรเลย” 

 

อย่างไรก็ดี สงครามในครั้งนี้อาจจะมีส่วนทำให้การเก็งกำไรในตลาดซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากตลอด 2 ปีที่ผ่านมา จบรอบลงไปอย่างแท้จริง ซึ่งจะกระทบต่อหุ้นบางตัวหรือบางกลุ่มที่ถูกเก็งกำไรกันมาก จนมีค่า P/E สูงมากๆ เพราะฉะนั้นนักลงทุนจึงควรเลี่ยงหุ้นกลุ่มเหล่านี้

 

ด้าน เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง นักลงทุนรายใหญ่สายเทคนิคคอล เปิดเผยว่า ในส่วนของพอร์ตระยะสั้นได้ขายลดความเสี่ยงไปประมาณ 50% ส่วนพอร์ตระยะยาวไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนแต่อย่างใด 

 

“ส่วนตัวดูจากกราฟเป็นหลัก แต่ดูเหมือนว่าหุ้นที่ขายออกไปจะไม่ลดลงเลย แต่ก็ต้องยึดตามสัญญาณที่เกิดขึ้น สิ่งที่ทำตอนนี้คือรอจังหวะในการที่จะซื้อกลับ ถ้าดูโดยรวมแล้วตลาดสามารถยืนเหนือ 1,680 จุด ได้อย่างแข็งแกร่ง ก็อาจจะเป็นโอกาสในการซื้อ” 

 

สำหรับภาพระยะยาวเชื่อว่าหุ้นไทยยังมีโอกาสไปต่อได้เช่นเดิม ขณะที่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นดูเหมือนว่าอาจจะไม่ได้ขยายความรุนแรงไปมากนัก ขณะที่ราคาน้ำมันและทองคำก็เริ่มฟื้นได้ เช่นเดียวกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่เริ่มฟื้นตัวตั้งแต่เมื่อคืนนี้ (24 กุมภาพันธ์)

 

ขณะที่ ทิวา ชินธาดาพงศ์ นักลงทุนหุ้นคุณค่าอีกราย มองว่า หุ้นยังไปต่อได้เช่นเดียวกับหุ้นต่างประเทศ อย่างหุ้นจีน และการปรับฐานในรอบนี้น่าจะเป็นระลอกท้ายๆ ของการปรับตัวลง โดยเฉพาะหากความขัดแย้งไม่ได้รุนแรงไปมากกว่านี้ เชื่อว่าตลาดหุ้นจะใช้เวลาไม่นานในการฟื้นตัวกลับมา 

 

“ช่วงนี้ได้ปรับพอร์ตไปพอสมควร โดยการขายหุ้นบางส่วน เพื่อไปซื้อหุ้นที่ผลประกอบการออกมาดีกว่าคาดที่ราคาลดลงมาแรง การถือหุ้นถ้าพลาดวันที่ดีไปสัก 10 วัน ผลตอบแทนอาจจะหายไปเลย เพราะฉะนั้นปีนี้จึงตั้งใจจะถือเงินสดให้น้อย หรืออาจจะไม่ถือเลย เพราะเชื่อว่าไทยกำลังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัวในอีก 2 ปีข้างหน้านี้”

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising