โจ ไบเดน เปิดฉากการเยือนสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นทริปต่างประเทศอย่างเป็นทางการทริปแรกในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ พร้อมส่งสารเตือนไปยังรัสเซียว่าอาจเผชิญกับผลลัพธ์ที่แน่วแน่และมีความหมาย หากรัสเซียดำเนินกิจกรรมที่เป็นอันตราย
การเยือนสหราชอาณาจักรเป็นประเทศแรกสะท้อนความแนบแน่นระหว่างสองพันธมิตรเก่าแก่และนโยบายของไบเดน ในการกระชับความสัมพันธ์กับบรรดาชาติพันธมิตร หลังเสื่อมถอยลงในยุคของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ให้ความสำคัญกับอเมริกาก่อนเป็นลำดับแรก
ไบเดนเดินทางถึงสหราชอาณาจักรเมื่อวานนี้ (9 มิถุนายน) ตามเวลาท้องถิ่น โดยเขามีกำหนดพบปะหารือกับ บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ซึ่งสองฝ่ายเตรียมลงนามกฎบัตรแอตแลนติกฉบับใหม่ ซึ่งเป็นข้อตกลงเวอร์ชันใหม่จากฉบับที่ วินสตัน เชอร์ชิล และ แฟรงกลิน โรสเวลต์ เคยลงนามกันในปี 1941 โดยจะโฟกัสไปที่ประเด็นความท้าทายใหม่ๆ เช่น ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและความมั่นคง
นอกจากนี้ไบเดนยังมีกำหนดเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักรที่พระราชวังวินด์เซอร์ และจะเข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่ม G7 ที่อังกฤษเป็นเจ้าภาพ ต่อด้วยการประชุมสุดยอดผู้นำองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือหรือ NATO ในทริปยุโรปรวม 8 วันนี้ด้วย
อีกหนึ่งไฮไลต์น่าจับตาในทริปยุโรปของไบเดนคราวนี้คือ การพบปะระหว่างไบเดนกับ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติมหาอำนาจ สืบเนื่องจากการที่สหรัฐฯ ประกาศมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียกรณีแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปลายปี 2020
ด้านทำเนียบขาวเผยว่า ไบเดนต้องการที่จะพูดคุยกับปูตินในประเด็นเร่งด่วน ซึ่งรวมถึงการควบคุมอาวุธ ปัญหาโลกร้อน รวมทั้งกรณีที่กองทัพรัสเซียเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในยูเครน, การโจมตีทางไซเบอร์ และการกักขัง อเล็กเซย์ นาวัลนี ผู้นำฝ่ายค้านรัสเซียและนักวิจารณ์ปูตินตัวยง
ขณะที่ไบเดนยืนกรานว่า เขาต้องการส่งสารที่ชัดเจนว่าสหรัฐฯ กลับมาแล้ว และระบอบประชาธิปไตยของโลกกำลังยืนหยัดร่วมกันเพื่อรับมือกับความท้าทายที่ยากที่สุด และประเด็นที่สำคัญที่สุดสำหรับอนาคตของเรา
สำหรับการประชุม G7 ครั้งแรกของไบเดนนั้น เขาจะประชุมกับผู้นำแคนาดา, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, ญี่ปุ่น และสหราชอาณาจักรในวันศุกร์นี้ ซึ่งหัวข้อหลักในการหารือจะครอบคลุมประเด็นการปฏิรูประบบสาธารณสุขโลกเพื่อป้องกันและรับมือกับโรคระบาดใหญ่ในอนาคต
ภาพ: Phil Noble – WPA Pool / Getty Images
พิสูจน์อักษร: นัฐฐา สอนกลิ่น
อ้างอิง: