สำนักข่าว South China Morning Post เผยแพร่บทสัมภาษณ์จากที่ปรึกษาด้านกิจการไต้หวันของรัฐบาลจีน ซึ่งแสดงความเห็นในกรณีการรวมชาติกับไต้หวัน โดยระบุว่า รัฐบาลปักกิ่งมีความมั่นใจว่าสถานการณ์ทั้งหมดนั้นอยู่ภายใต้การควบคุม และไม่มีเหตุผลที่ต้องเร่งรีบในการรวมชาติโดยใช้กำลัง ถึงแม้จะมีการเพิ่มความพยายามในการกำหนดมาตรการเพื่อจัดการกับกองกำลังสนับสนุนเอกราชของไต้หวัน
ความเห็นดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่ความกังวลต่อสถานการณ์ขัดแย้งระหว่างไต้หวันและจีนทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ขณะที่ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ของจีน บอกกับประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ระหว่างร่วมประชุมสุดยอดผ่านระบบทางไกลในช่วงสัปดาห์นี้ ระบุว่า จีนจะดำเนินการตอบโต้อย่างรุนแรงหากถูกยั่วยุในประเด็นไต้หวัน แต่ ณ ตอนนี้ ยืนยันว่าปักกิ่งยังคง ‘อดทน’ และมีความ ‘จริงใจ’ ในการหาทางรวมชาติอย่างสันติ
หยูซินเทียน ประธานสถาบันไต้หวันศึกษาแห่งเซี่ยงไฮ้ ในฐานะที่ปรึกษาด้านไต้หวันของรัฐบาลจีน กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาในประเด็นการรวมชาติกับไต้หวันไม่ได้มีแค่คำถามง่ายๆ ว่าจะมีการทำสงครามหรือไม่ โดยหยูชี้ว่า ปักกิ่งยังสามารถใช้แนวทางเชิงรุก ทั้งการกดดันทางกฎหมาย เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้
“หากกองกำลังเอกราชของไต้หวันยั่วยุมากขึ้น เราก็มีมาตรการรับมือเช่นกัน แต่นั่นไม่เหมือนกับการทำสงคราม บางคนคิดว่าการต่อต้านเอกราชของไต้หวันเป็นคำถามว่าจะสู้หรือไม่สู้ มันไม่ง่ายอย่างนั้น ยังมีหลายขั้นตอนที่ต้องทำ และเรามีเครื่องมือมากมายในกล่องเครื่องมือของเราที่ยังไม่ได้ใช้งาน” หยูกล่าว
ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา รัฐบาลจีนยังแสดงให้เห็นเป็นครั้งแรกว่าอะไรคือความหมายของการใช้กฎหมายจัดการกับกลุ่มชาวไต้หวันหัวดื้อที่สนับสนุนเอกราชของไต้หวัน ด้วยการขึ้นบัญชีดำ 3 เจ้าหน้าที่อาวุโสของไต้หวัน โดยระบุว่า พวกเขามีความผิดทางอาญาและห้ามเดินทางเข้าจีนแผ่นดินใหญ่
ขณะที่หยูกล่าวชัดเจนว่า อำนาจของรัฐบาลจีนนั้นมีแต่จะแข็งแกร่งมากขึ้นในอนาคต ซึ่งจะทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับประเทศต่างๆ ในการสนับสนุนและยืนข้างไต้หวัน โดยเธอยังชี้ว่า ปักกิ่งมีความได้เปรียบทางด้านกองทัพและสามารถใช้กำลังทหารยึดไต้หวันได้ภายในเวลาไม่กี่นาที
“มันจะใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีในการยึดไต้หวัน แต่เราไม่ได้เลือกที่จะทำเช่นนั้น เพราะมันจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนในช่องแคบไต้หวัน” หยูกล่าว พร้อมทั้งเตือนว่า “ปัญหาของไต้หวันนั้นเป็นปัญหาหลักสำหรับจีน แต่ไม่ใช่ปัญหาของสหรัฐฯ”
ภาพ: Photo by Kevin Frayer / Getty Images
อ้างอิง: