วันนี้ (29 กุมภาพันธ์) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ความคืบหน้าหลังจากที่คณะพนักงานสอบสวนคดีหมูเถื่อนได้รวบรวมพยานหลักฐานขอศาลอาญาออกหมายจับบุคคลและนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับขบวนการนำเข้าเนื้อสัตว์เถื่อนนานาชนิดมายังราชอาณาจักรไทย ในคดีพิเศษที่ 127/2566 ทั้งสิ้น 9 หมายจับ โดยเป็นหมายจับบุคคลทั่วไป 5 หมายจับ และหมายจับนิติบุคคล 4 หมายจับ
พ.ต.ต. ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม และในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน กล่าวว่า ผู้ต้องหาทั้ง 5 รายที่ได้มีการออกหมายจับ คือกลุ่มที่นำเข้าสินค้าประเภทซากสัตว์แช่แข็ง และยังเป็นการใช้ระบบเขตปลอดอากร (Free Zone) ซึ่งในกลุ่มนี้มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทั้งเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรและเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์
ดีเอสไอพบบัญชีรายจ่ายที่กลุ่มผู้ต้องหามีการจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่รัฐทั้งแบบรายเดือนและแบบรายตู้ มีทั้งการจ่ายแบบเงินสดและโอนเข้าบัญชีธนาคาร รวมทั้งพบว่ายังมีการจ่ายเงินให้กับเจ้าหน้าที่รัฐอีกหลายส่วนเพื่อการประกอบธุรกิจ
ส่วนยอดเงินที่กลุ่มผู้ต้องหาจ่ายให้เจ้าหน้าที่รัฐ (เจ้าหน้าที่ศุลกากร) พบว่ามีการจ่ายแบบรายตู้ ตกตู้ละ 20,000 บาท ซึ่งดีเอสไอตรวจค้นบริษัทของกลุ่มผู้ต้องหาพบว่ามีจำนวน 33 ตู้ จ่ายไปแล้ว 660,000 บาท นอกจากนี้ยังมีการจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ศุลกากร เดือนละ 30,000-50,000 บาท และยังมีการจ่ายให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรที่ถูกระบุว่าเป็นหน้าห้องด้วย
พ.ต.ต. ณฐพล กล่าวต่อว่า กลุ่มผู้ต้องหาได้ใช้บริษัทของตัวเองในเครือทั้ง 4 บริษัทนำเข้าตู้คอนเทนเนอร์มาก่อนแล้ว โดยดูจากผลการตรวจค้นบริษัทฯ ในเขตปลอดอากร มีการนำสินค้าประเภทซากสัตว์ประเภทสุกร เครื่องในวัว ตีนไก่ ตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2563 – 31 มกราคม 2567 รวมเป็นจำนวน 3,469 ตู้เข้ามาในประเทศไทย
พ.ต.ต. ณฐพล กล่าวต่อว่า สำหรับพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่รัฐที่มีการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มผู้ต้องหานั้น ไม่ว่าจะเป็นการผ่อนผันให้กลุ่มผู้ต้องหานำตู้เข้ามาในไทย หรือการรับจ่ายเงินเป็นรายเดือนและรายตู้ ก็ถือเป็นการทุจริต
จากการตรวจสอบพบว่า เจ้าหน้าที่ที่รับเงินเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้งสองหน่วยงาน (กรมปศุสัตว์และกรมศุลกากร) โดยมีตำแหน่งสูงกว่าตำแหน่งผู้อำนวยการ เป็นเจ้าหน้าที่รัฐระดับซี 9 (C9) รวมๆแล้วมีจำนวนหลายสิบรายที่รับเงินจากกลุ่มผู้ต้องหา
