ในวันที่โลกคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นอายแห่งสงครามและความขัดแย้งในหลายภูมิภาค แต่ที่คาบสมุทรเกาหลีในวันนี้กลับอบอวลด้วยบรรยากาศที่หลายๆ คนไม่คุ้นเคย ทว่าก็นำมาซึ่งความปลื้มปีติและยินดีปรีดาของชาวโลก
เพราะเมื่อเวลาประมาณ 9.30 น. ของเช้าวันนี้ (27 เม.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือได้เดินทางมาร่วมประชุมสุดยอดกับผู้นำเกาหลีใต้ที่หมู่บ้านพักรบปันมุนจอมเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 1 ทศวรรษ ส่งผลให้แสงอาทิตย์ที่สาดส่องบนพรมแดนเส้นขนานที่ 38 เช้านี้ไม่ใช่แค่เพียงแสงอรุณรุ่งของเช้าวันใหม่ธรรมดาๆ เท่านั้น แต่เป็นแสงสว่างแห่งความหวังที่จะเกิดสันติภาพถาวรบนคาบสมุทรเกาหลี
ก้าวย่างของคิมจองอึนขณะข้ามเส้นแบ่งเขตทหารของเกาหลีเหนือเพื่อเข้าสู่เขตปลอดทหารในหมู่บ้านปันมุนจอม สถานที่จัดซัมมิต ได้ปรากฏสู่สายตาของผู้คนทั่วโลก ซึ่งถือเป็นประจักษ์พยานสำคัญของประวัติศาสตร์หน้าใหม่ แม้ว่าเวลานี้อาจดูเร็วเกินไปที่จะด่วนสรุปว่าปฐมบทแห่งการเจริญสัมพันธไมตรีสู่ภาวะปกติระหว่างสองเกาหลีที่ปกครองด้วยระบบการเมืองต่างขั้วจะเริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริงแล้วก็ตาม แต่นี่ก็ถือเป็นสัญญาณบวกที่เด่นชัดที่สุดที่เกิดขึ้น นับตั้งแต่สงครามเกาหลีได้แบ่งแยกพวกเขาออกเป็นสองประเทศเมื่อเกือบ 7 ทศวรรษก่อน
คิมจองอึนยืนจับมือกับประธานาธิบดีมุนแจอินของเกาหลีใต้ที่มารอต้อนรับอย่างอบอุ่น ณ อีกฟากหนึ่งของเขตปลอดทหาร รอยยิ้มบนใบหน้าของสองผู้นำและการทักทายอย่างเป็นกันเองทำให้บรรยากาศแห่งมิตรภาพเด่นชัดมากขึ้น
คิมจองอึนเริ่มต้นบทสนทนาว่า “ผมรู้สึกยินดีมากที่ได้พบคุณ”
มุนแจอินถามกลับไปว่า “ระหว่างทางมาที่นี่ลำบากไหมครับ”
“ไม่ลำบากเลยครับ” คิมตอบ
(มุนแจอิน) “ยินดีที่ได้พบคุณเช่นกันครับ”
(คิมจองอึน) “จริงๆ แล้วผมรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะได้ประชุมในสถานที่แห่งประวัติศาสตร์แห่งนี้ และผมก็รู้สึกซาบซึ้งที่คุณเดินทางมาต้อนรับผมที่เส้นเขตแดนทหารในปันมุนจอม”
คิมจองอึนยังกล่าวด้วยว่า “ตอนนี้เราควรพบปะกันให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
ก่อนที่มุนแจอินจะเชิญคิมจองอึนเดินบนพรมแดงสู่สถานที่รับรองนั้น เขาได้ชวนมุนแจอินเดินข้ามไปฝั่งเกาหลีเหนือด้วย หลังจากที่มุนแจอินถามว่า “ตอนนี้คุณได้ข้ามมาฝั่งเกาหลีใต้แล้ว เมื่อไรผมจะได้เดินข้ามไปฝั่งเกาหลีเหนือบ้าง” ซึ่งคิมจองอึนตอบกลับทันทีว่า “บางทีอาจถึงเวลาเหมาะสมแล้วที่คุณจะเดินเข้ามาในอาณาเขตของเกาหลีเหนือ”
จากนั้นคิมจองอึนได้พามุนแจอินเดินข้ามไปยืนฝั่งเกาหลีเหนือ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนว่าไม่มีพรมแดนแบ่งกั้นระหว่างสองฝ่ายอีกต่อไป
หลังเดินทางมาถึงเรือนสันติภาพ (Peace House) ในหมู่บ้านปันมุนจอม ผู้นำคิมจองอึนได้เขียนข้อความในสมุดเยี่ยมว่า “ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว ยุคแห่งสันติภาพจากจุดเริ่มต้นทางประวัติศาสตร์” ก่อนที่สองผู้นำจะเปิดฉากการประชุมอย่างเป็นทางการ
สองผู้นำคุยอะไรกันบนโต๊ะประชุม
การประชุมสุดยอดแบ่งออกเป็นช่วงเช้าและช่วงบ่าย โดยช่วงเช้า คิมจองอึนเริ่มต้นการสนทนาด้วยท่าทีที่เปิดกว้างว่า “ผมจะพูดคุยกับประธานาธิบดีมุนแจอินอย่างตรงไปตรงมา จริงใจ และซื่อสัตย์ เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดี”
“เราต้องใช้เวลาถึง 11 ปีกว่าที่การประชุมครั้งนี้จะเกิดขึ้น ผมประหลาดใจว่าทำไมต้องใช้เวลานานขนาดนั้นจึงมาถึงจุดนี้ได้” คิมจองอึนกล่าวต่อ
ขณะที่มุนแจอินกล่าวว่า “ทั่วโลกกำลังเฝ้าจับตาดูฤดูใบไม้ผลิที่จะแผ่ขยายไปทั่วคาบสมุทรเกาหลี นี่คือหน้าที่อันใหญ่หลวงที่เราทุกคนแบกรับไว้”
“วินาทีที่ผู้นำคิมก้าวข้ามเส้นแบ่งเขตทหารในปันมุนจอม นับเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ ไม่ใช่สัญลักษณ์ของการแบ่งแยก ผมขอแสดงความเคารพต่อการตัดสินใจของคิมจองอึนที่ทำให้การประชุมในวันนี้กลายเป็นจริงขึ้นมาได้” มุนแจอินกล่าวเสริม
ขณะที่คิมจองอึนยังได้กล่าวขอโทษต่อมุนแจอินเกี่ยวกับการทดสอบขีปนาวุธและระเบิดนิวเคลียร์ตลอดช่วงปีที่ผ่านมา โดยระบุว่า “พวกเราจะไม่รบกวนเวลานอนและทำให้พวกคุณต้องตื่นเช้าอีก” เพื่อเน้นย้ำจุดยืนว่าเกาหลีเหนือมีความตั้งใจจริงในการยุติโครงการนิวเคลียร์นี้
ก่อนปิดการประชุมช่วงบ่าย คิมจองอึนยังบอกกับมุนแจอินด้วยว่า เขามีความยินดีที่จะเดินทางไปประชุมกับมุนแจอินที่ทำเนียบสีน้ำเงิน (ทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้) หากได้รับคำเชิญ
สำหรับการประชุมช่วงเช้าใช้เวลาทั้งสิ้น 100 นาที
ส่วนช่วงบ่าย ผู้นำของสองประเทศได้หารือกันต่อในประเด็นการปลดอาวุธนิวเคลียร์ รวมถึงการจัดทำสนธิสัญญาสันติภาพบนคาบสมุทรและการพัฒนาความสัมพันธ์ระดับทวิภาคี ซึ่งถือเป็น 3 วาระหลักของซัมมิตครั้งนี้
สำหรับการประชุมรอบบ่ายใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง โดยมีการพูดคุยกันส่วนตัวระหว่างคิมจองอึนกับมุนแจอินนาน 30 นาที
ร่วมปลูกต้นไม้
นอกจากการประชุมบนโต๊ะแล้ว ผู้นำทั้งสองยังทำกิจกรรมที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของการเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างสองประเทศ โดยคิมจองอึนและมุนแจอินได้ร่วมกันปลูกต้นไม้ในเขตปลอดทหารที่ปันมุนจอม
คิมจองอึนบอกกับมุนแจอินว่า “ในโอกาสที่ร่วมปลูกต้นสนกับมุนแจอินครั้งนี้ ผมหวังว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราจะเจริญงอกงามได้เหมือนกับต้นสนต้นนี้ ซึ่งจะเขียวชอุ่มตลอดเวลาแม้ในหน้าหนาว”
“ที่นี่เป็นสถานที่ที่มีความหมาย ฤดูใบไม้ผลิได้มาถึงเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้แล้วอย่างแท้จริง ผมหวังว่าจะสร้างโอกาสที่ดีที่สุดจากวันนี้” คิมจองอึนกล่าวเสริม
ขณะที่มุนแจอินตอบกลับว่า “ใช่แล้วครับ มันจะเป็นเช่นนั้นแน่”
แถลงการณ์ร่วมตอกย้ำสันติภาพถาวร
แน่นอนว่าการประชุมสุดยอดของผู้นำประเทศทุกครั้งจะปิดท้ายด้วยการออกแถลงการณ์ร่วม ซึ่งเป็นสาสน์ส่งต่อถึงผู้คนทั่วโลกว่าการประชุมประสบความสำเร็จเป็นรูปธรรมมากน้อยเพียงใด ทว่าแถลงการณ์ร่วมจากซัมมิตครั้งนี้ได้รับการจับตาเป็นพิเศษ เนื่องจากทั่วโลกกำลังรอคอยสัญญาณบวกที่ชัดเจนเกี่ยวกับการปลดอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ รวมถึงการทำข้อตกลงสันติภาพระหว่างสองเกาหลี
และคนที่รอข่าวดีก็ไม่ผิดหวัง
หลังสิ้นสุดการประชุม ผู้นำเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ได้ออกแถลงการณ์ร่วมที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘ปฏิญญาปันมุนจอมว่าด้วยสันติภาพ ความเจริญรุ่งเรือง และเอกภาพบนคาบสมุทรเกาหลี’ โดยระบุว่าสองประเทศต่างเห็นพ้องที่จะร่วมลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพในปีนี้ เพื่อยุติสถานภาพความเป็นคู่สงครามที่ดำเนินมายาวนานกว่า 6 ทศวรรษ นับตั้งแต่สงครามเกาหลีในปี 1950 โดยที่ผ่านมาทั้งสองประเทศยังถือเป็นคู่สงครามในทางเทคนิค เนื่องจากมีการลงนามเพียงสัญญาหยุดยิงเท่านั้น ไม่ใช่สนธิสัญญาสันติภาพแต่อย่างใด
“ผู้นำของสองประเทศขอประกาศอย่างตั้งใจจริงว่าจะไม่มีสงครามบนคาบสมุทรเกาหลีอีกต่อไป และศักราชแห่งสันติภาพได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว” แถลงการณ์ร่วมระบุ
นอกจากนี้ เกาหลีเหนือยังตอกย้ำเจตนารมณ์ที่จะปลดอาวุธนิวเคลียร์อย่างสมบูรณ์ด้วย
“ประธานคิมจองอึนและผมเห็นพ้องกันว่าการปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรจะประสบความสำเร็จในภายภาคหน้า เพราะถือเป็นเป้าหมายร่วมกันของเรา” แถลงการณ์ระบุ
ท่ามกลางบรรยากาศอันชื่นมื่น คิมจองอึนซึ่งยืนอยู่เคียงข้างมุนแจอิน ณ เรือนสันติภาพยังกล่าวอย่างเบิกบานใจด้วยว่า “สองเกาหลีมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทุกคนจะทำงานร่วมกันเพื่อก้าวไปสู่การรวมชาติในอนาคต”
“เราไม่ใช่คนที่จะมาเผชิญหน้ากัน เราควรดำรงชีวิตกันอย่างมีเอกภาพ เราต่างรอคอยช่วงเวลาแบบนี้มานานแล้ว” คิมจองอึนกล่าวเสริม
“ผมหวังจากใจจริงว่าถนนเส้นที่ผมใช้วันนี้จะเป็นถนนที่ประชาชนเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือทุกคนสามารถใช้ได้ เราจะมีความสุขกับสันติภาพและความรุ่งโรจน์บนคาบสมุทรเกาหลีโดยปราศจากความเกรงกลัวภัยสงคราม” คิมจองอึนกล่าวทิ้งท้าย
ดินเนอร์แห่งมิตรภาพ
ในช่วงค่ำยังมีการจัดเลี้ยงอาหารค่ำสำหรับคิมจองอึนและมุนแจอิน รวมถึงคณะผู้แทนและเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากสองประเทศรวม 60 คน ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญของซัมมิตครั้งนี้ โดย รีซอลจู ภริยาของคิมจองอึน และ คิมจุงซุก ภริยาของมุนแจอิน ได้เข้าร่วมดินเนอร์ครั้งประวัติศาสตร์นี้ด้วย
นอกจากเจ้าหน้าที่รัฐบาลแล้ว ในงานเลี้ยงยังมีแขกรับเชิญที่เป็นดารา ศิลปิน และนักแสดงจากเกาหลีเหนือเข้าร่วมอีก 11 ชีวิตด้วย
ส่วนรายการอาหารในงานเลี้ยงมื้อประวัติศาสตร์นั้น อาหารทั้ง 10 อย่างที่เสิร์ฟบนโต๊ะล้วนผลิตจากวัตถุดิบในคาบสมุทรเกาหลี และแต่ละจานยังเปี่ยมด้วยความหมายต่างๆ ด้วย โดยหนึ่งในจานเด็ดคือ แนงมยอน หรือบะหมี่เย็น อาหารขึ้นชื่อของคนเกาหลี ซึ่งปรุงโดยเชฟอันดับหนึ่งของเกาหลีเหนือ
มีคำกล่าวแต่โบราณว่างานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ซึ่งมีนัยถึงการจากลาในความหมายเชิงลบ แต่สำหรับงานเลี้ยงครั้งนี้นับเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสันติภาพที่กำลังจะก่อตัวขึ้นบนคาบสมุทร ซึ่งแน่นอนว่างานเลี้ยงแบบนี้คงไม่มีใครอยากให้สิ้นสุด
คำว่า ‘สันติภาพ’ ที่หลายๆ คนเชื่อว่าจะไม่มีทางได้เห็นบนคาบสมุทรเกาหลีกำลังจะเกิดขึ้น แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้นคือความสำเร็จของซัมมิตครั้งนี้จะเป็นโมเดลทางการทูตที่สำคัญ ซึ่งตอกย้ำว่าความขัดแย้งต่างๆ สามารถคลี่คลายได้ด้วยการหันหน้าเข้าหากันและพูดจากัน
อ้างอิง: