อิศรา นิโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP เปิดเผยในงานแถลงข่าวผลการดำเนินงานประจำปี 2567 ของ BPP ระบุว่า บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนระยะ 6 ปี ระหว่างปี 2568-2573 จะใช้ประมาณ 1,000-1,500 ล้านดอลลาร์ แบ่งสัดส่วนการลงทุนเป็นโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ (GFP) สัดส่วน 60% และพลังงานสะอาด (Renewables) สัดส่วน 40%
สำหรับในปี 2568 คาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 200-400 ล้านดอลลาร์เน้นการขยายโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯ เพื่อสู่เป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่จากก๊าซธรรมชาติอีก 1,500 เมกะวัตต์ เฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละ 300 เมกะวัตต์
พร้อมทั้งคาดว่าในปี 2573 กำไรก่อนภาษี, ค่าเสื่อม และดอกเบี้ยจ่าย (EBITDA) จะมีสัดส่วนจากกลุ่มสินทรัพย์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Greener assets) กว่า 65%
สำหรับผลการดำเนินงานปี 2567 รักษาผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าทุกแห่งได้อย่างมีเสถียรภาพควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อย CO2 โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าในจีนลดการปล่อยคาร์บอนจากโรงไฟฟ้าได้ดีกว่าเกณฑ์ ทำให้มีรายได้เพิ่มเติม จากการขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอน (Carbon Emission Allowances: CEAs) เกือบ 90 ล้านบาท
อีกทั้งเตรียมความพร้อมโรงไฟฟ้า Temple I และ Temple II ในสหรัฐฯ รับแรงหนุนจากแนวโน้มราคาซื้อขายไฟล่วงหน้าในตลาดไฟฟ้าเสรี ERCOT สูงขึ้นเกือบเท่าตัวในปี 2568 และการคาดการณ์อัตราความต้องการใช้ไฟฟ้าในสหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 15-17% ภายในปี 2573 จากการลงทุน Data Centers โดยรัฐเท็กซัสมี การเติบโตของ Data Centers ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐฯ
คาดการณ์เทรนด์พลังงานไฟฟ้าของและกลยุทธ์ธุรกิจของ BPP
อิศรากล่าวต่อว่า BPP ขับเคลื่อนการเติบโตตามแนวทางการดำเนินธุรกิจ Beyond Quality Megawatts โดยมุ่งมั่นบริหารพอร์ตโฟลิโอให้มีความสมดุลและครอบคลุมมากไปกว่าการขยายกำลังผลิตไฟฟ้า เพื่อมีความยืดหยุ่นในการหาโอกาสใหม่ๆ ในการเติบโต และสร้างกระแสเงินสดได้อย่างมั่นคงในระยะยาว โดยปีที่ผ่านมาธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I และ II ในรัฐเท็กซัส สหรัฐฯ สามารถเดินเครื่องเพื่อส่งมอบพลังงานได้ต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี แม้จะมีราคาซื้อขายไฟฟ้าเฉลี่ยลดลงจากอุณหภูมิและสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่เราเชื่อมั่นว่าราคาซื้อขายไฟในปี 2568 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นสอดรับกับเทรนด์เทคโนโลยีพลังงานและดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ
อีกทั้ง BPP มีมาตรการบริหารจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา (Hedging Risk Management) ด้วยการใช้เครื่องมือทางการเงิน (Financial Derivative) สำหรับโรงไฟฟ้าทั้งสองแห่งนี้
โดยในปี 2568 จะมีกระแสเงินสดที่จะได้รับจากการใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยงดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่ 40% นอกจากนี้ เรามองเห็นโอกาสในการสร้างรายได้เพิ่มเติมของธุรกิจในจีนจากการขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอน (CEAs) ของโรงไฟฟ้าถ่านหิน
นอกจากนี้ยังเร่งขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง (Renewables+) เดินหน้าสร้างห่วงโซ่ธุรกิจพลังงานที่แข็งแกร่ง โดยเน้นการลงทุนในโครงการแบตเตอรี่ฟาร์มขนาดใหญ่ (BESS) และการซื้อขายพลังงาน (Energy Trading) เพื่อสร้าง New S-Curve ให้กับบริษัทฯ รวมถึงนำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI มาเสริมการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น
ขณะที่ผลการดำเนินงานปี 2567 BPP มีรายได้รวม 25,827 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,746 ล้านบาท โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จากการดำเนินงานปกติ รวม 7,383 ล้านบาท พร้อมรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้น (D/E) อยู่ในระดับต่ำเพียง 0.49 เท่า โดยในปี 2567 บริษัทฯ มีพัฒนาการที่สำคัญ ดังนี้
ธุรกิจพลังงานความร้อน (Thermal Energy): โรงไฟฟ้าเอชพีซี (HPC) ใน สปป.ลาว และโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP) ในไทย ยังคงเดินเครื่องอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถรักษาค่าความพร้อมจ่ายไฟ (EAF) ในระดับสูงที่ 86% และ 90% ตามลำดับ และจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเพิ่มเติม จากจำนวนชั่วโมงการผลิตตามสัญญา
รวมถึงการดำเนินงานที่ดีขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (CHP) และโรงไฟฟ้าซานซีลู่กวง (SLG) ในจีน จากการบริหารต้นทุนถ่านหินที่ดีขึ้นและมีรายได้อื่นที่เพิ่มขึ้นเกือบ 90 ล้านบาท จากการขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอนของโรงไฟฟ้า (CEAs) ปริมาณประมาณ 290,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุด ที่สะท้อนถึงประสิทธิภาพของ การบริหารจัดการและควบคุมการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์
ได้ดีกว่าเกณฑ์
ธุรกิจ Renewables+: ลงทุนในโครงการ BESS เพิ่มเติมอีก 2 แห่งในญี่ปุ่น ได้แก่ โครงการ Aizu (ไอสึ) และโครงการ Tsuno (ซึโนะ) กำลังการผลิตรวม 208 เมกะวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งคาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ในปี 2571 ขณะที่โครงการ Iwate Tono กำลังการผลิต 58 เมกะวัตต์-ชั่วโมง มีความคืบหน้า 99% เตรียมเปิด COD ในไตรมาส 2 ปีนี้ และเดินหน้าธุรกิจขายไฟฟ้า Energy Trading ในญี่ปุ่น ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่ดี
โดยมีการซื้อขายทั้งหมด 2,816 กิกะวัตต์-ชั่วโมง ล่าสุดในปี 2568 บ้านปู เน็กซ์ ซึ่ง BPP ถือหุ้นร้อยละ 50 ได้ร่วมกับโซลาร์บีเค บริษัทชั้นนำด้านพลังงานสะอาดในเวียดนาม จัดตั้งบริษัทร่วมทุน เพื่อให้บริการโซลาร์รูฟท็อปสำหรับกลุ่มธุรกิจเชิงพาณิชย์ และอุตสาหกรรมในเวียดนาม ตั้งเป้าเฟสแรก 390 เมกะวัตต์
“ด้วยพอร์ตธุรกิจที่มีความหลากหลายและกระจายตัวอย่างสมดุลผ่านการดำเนินธุรกิจเชิงรุกใน 8 ประเทศยุทธศาสตร์ทั่วโลก ทำให้ BPP มีความสามารถปรับตัวรับมือกับภาวะวิกฤติต่างๆ และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในแต่ละประเทศ”