กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา มองว่า สัปดาหนี้ (15-19 มิถุนายน) ค่าเงินบาทมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 30.75-31.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยเมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทปิดตลาดแข็งค่าที่ระดับ 30.97 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 4 เดือน โดยมีแรงเทขายเงินดอลลาร์สหรัฐในตลาดโลก และการเร่งขายเพื่อลดการขาดทุนหลังเงินบาททะลุแนวต้าน
ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทย 2.2 พันล้านบาท แต่ซื้อพันธบัตรสุทธิ 8.2 พันล้านบาท ขณะที่เงินดอลลาร์สหรัฐฟื้นตัวเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่หลังอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วภายหลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงกรอบเป้าหมายดอกเบี้ยไว้ที่ 0-0.25% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พร้อมทั้งส่งสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจหดตัว 6.5% ในปีนี้ ก่อนที่จะเติบโต 5% ในปี 2564 โดย Fed คาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ใกล้ระดับ 0% ต่อไปจนถึงปี 2565
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรีอยุธยา มองว่า จุดสนใจยังคงอยู่ที่การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งปรับฐานลงมาแรงในสัปดาห์ก่อน จากการที่ Fed ประเมินว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากโควิด-19 จะใช้เวลายาวนาน และ Fed มองว่าสถานการณ์ดังกล่าวเป็นความเสี่ยงอย่างมากต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะกลาง
ส่วนประธาน Fed เปิดช่องไว้สำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมและอาจใช้มาตรการควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Yield Curve Control) หากมีความจำเป็น รวมถึงเน้นย้ำว่าในเวลานี้ Fed ไม่นึกถึงการพิจารณาเรื่องการขึ้นดอกเบี้ย รวมถึงให้คำมั่นว่าจะเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลในอัตราปัจจุบันที่ราว 8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน และเข้าซื้อหลักทรัพย์ที่ได้รับการค้ำประกันจากสัญญาจำนองและหลักทรัพย์ของหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในอัตรา 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน นอกจากนี้นักลงทุนจะให้ความสนใจกับการประชุมเรื่อง Brexit ระหว่างสหภาพยุโรปกับสหราชอาณาจักร, การแถลงนโยบายของประธาน Fed ต่อสภา, การประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) รวมถึงธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี)
สำหรับปัจจัยในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า การแข็งค่าของเงินบาทอยู่ในทิศทางเดียวกับเงินสกุลภูมิภาคตามการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรในเดือนมิถุนายนแต่ยังไม่มาก
ทั้งนี้ความไม่แน่นอนของตลาดการเงินอาจส่งผลให้ค่าเงินผันผวน ผู้ประกอบการจึงควรให้ความสำคัญกับการทำประกันความเสี่ยง (Hedging) และคาดว่าในช่วงนี้เงินบาทอาจพักฐาน ก่อนจะกลับมาแข็งค่าในระยะยาวจากการดำเนินนโยบายของ Fed เป็นหลัก อย่างไรก็ดี ความผันผวนอาจเพิ่มสูงขึ้นเป็นระยะ
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า