ความพยายามที่จะบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง ซ้ำซากทุกปี ถูกจัดให้อยู่ในท็อปลิสต์ปัญหาเร่งด่วนของภาครัฐเพื่อให้ไทยหลุดพ้นจากสภาวะ ‘ฤดูแล้งน้ำขาด ฤดูฝนน้ำเกิน’
ลักษณะทางกายภาพทางภูมิศาสตร์ที่ต่างกันในแต่ละพื้นที่ยิ่งเพิ่มความซับซ้อนในการบริหารจัดการน้ำขึ้นไปอีก กรมชลประทานจึงมีความพยายามที่จะนำแนวทางการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการเพื่อรับมือกับข้อจำกัดของการจัดการน้ำที่มีอยู่เดิมในแต่ละพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ถ้าให้ยกตัวอย่างความสำเร็จในการบริหารจัดการน้ำ และบูรณาการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ของกรมชลประทานคงต้องพูดถึง ‘โครงการบางระกำโมเดล’ ที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2560 และกำลังเดินหน้าโครงการเป็นปีที่ 9
ย้อนสำรวจต้นตอปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากในพื้นที่ลุ่มต่ำระหว่างลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำน่าน
เดช เล็กวิชัย รองอธิบดีกรมชลประทาน ชี้ให้เห็นจุดเริ่มต้นของปัญหาส่วนหนึ่งเกิดจากข้อจำกัดของการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มต่ำระหว่างลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำน่าน โดยเฉพาะปริมาณน้ำฝนที่ตกบริเวณลุ่มน้ำยมเนื่องจากเป็นแหล่งน้ำเดียวที่ยังไม่มีแหล่งเก็บกักน้ำขนาดใหญ่
เดช เล็กวิชัย รองอธิบดีกรมชลประทาน
“ในเขตลุ่มน้ำน่าน เรามีเขื่อนสิริกิติ์ที่ควบคุมการไหลของน้ำในลุ่มน้ำน่านได้ ทำให้การบริหารจัดการน้ำมาก น้ำหลากไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไร ส่วนใหญ่ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากจะเกิดจากลุ่มน้ำยม ถ้าไล่จากทางเหนือ แม่น้ำยมเริ่มต้นตั้งแต่จังหวัดพะเยาถึงจังหวัดนครสวรรค์ ยาวประมาณ 787 กิโลเมตร ซึ่งลักษณะทางกายภาพของแม่น้ำยมจากจังหวัดพะเยาถึงจังหวัดแพร่ลำน้ำค่อนข้างลาดชันและกว้าง ทำให้มีอัตราการระบายสูงสุดประมาณ 2,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แต่พอมาถึงช่วงสุโขทัยและจังหวัดพิษณุโลกลำน้ำค่อนข้างราบและแคบ ทำให้ศักยภาพในการระบายน้ำลดลง เหลือเพียงประมาณ 208 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที”
ปัญหาและข้อจำกัดดังกล่าวส่งผลให้ช่วงฤดูน้ำหลากตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงตุลาคม ตัวเมืองจังหวัดสุโขทัยซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจและพื้นที่นาข้าวที่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยวในทุ่งบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ประสบอุทกภัยเป็นประจำ โดยเฉพาะพื้นที่บางระกำซึ่งเป็นพื้นที่แอ่งกระทะ การระบายน้ำลดลง เกิดการสะสมของน้ำ ทำให้พื้นที่ลุ่มต่ำในเขตบางระกำประสบปัญหาน้ำท่วม
“ผลกระทบที่ตามมาคือ ผลผลิตทางการเกษตรของชาวบ้านเสียหาย ปลูกข้าวก็ไม่ทันเก็บเกี่ยวได้ รายได้ก็ไม่มี และยังกระทบการใช้ชีวิตประจำวัน เพราะน้ำท่วมทางสัญจรในชุมชน”
ที่ผ่านมา กรมชลฯ ได้ดำเนินการ ‘โครงข่ายน้ำแม่น้ำยมและแม่น้ำน่าน’ ก่อสร้าง ‘คลองสวรรคโลก-พิชัย’ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการผันน้ำเลี่ยงเมืองสุโขทัย โดยระบายน้ำจากประตูระบายน้ำหาดสะพานจันทร์ เพื่อตัดยอดน้ำจากแม่น้ำยมบางส่วนเข้าสู่คลองสวรรคโลก-พิชัย ระบายสู่แม่น้ำน่านที่อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นการช่วยแก้ปัญหาพื้นที่ตอนบน
ขณะเดียวกัน มวลน้ำอีกส่วนที่ยังคงไหลลงมาแม่น้ำยมจะมีคลองระบายน้ำ DR.2.8 อยู่ด้านล่างพื้นที่ ทำหน้าที่ระบายสู่แม่น้ำน่าน ช่วยแก้ปัญหาพื้นที่ตอนล่างของอำเภอบางระกำ แต่บางปีที่ลุ่มน้ำน่านมีมวลน้ำมาก กรมชลฯ จะประสานเขื่อนสิริกิติ์ให้ลดการระบายน้ำลง เพื่อป้องกันการเท้อของน้ำจากแม่น้ำน่าน
จุดเริ่มต้นของโครงการบางระกำโมเดล
หนึ่งในแนวทางการบริหารจัดการน้ำที่กรมชลฯ นำมาปรับใช้เพิ่มเติมจากแนวทางข้างต้นคือ ‘การบริหารจัดการน้ำแบบประชาชนมีส่วนร่วมในทุ่งหน่วงน้ำบางระกำ’ โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ พล.อ. ฉัตรชัย สาริกัลยะ ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในเวลานั้น ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดสุโขทัยและจังหวัดพิษณุโลก และพบว่าปัญหาบางส่วนยังแก้ไขได้ไม่สมบูรณ์ จึงสั่งการให้กรมชลฯ และหน่วยงานในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์บูรณาการร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มต่ำบางระกำ อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ‘โครงการบางระกำโมเดล’ จึงเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 2560
โครงการบางระกำโมเดล’ คืออะไร
โครงการบางระกำโมเดล เป็นรูปแบบการบริหารจัดการน้ำด้วยความร่วมมือแบบบูรณาการของทุกภาคส่วนในรูปแบบประชารัฐ โดยให้พื้นที่บางระกำนำร่องจัดทำเป็นพื้นที่ทุ่งหน่วงน้ำ พร้อมกับบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับพื้นที่เพาะปลูก และเหมาะสมกับวิถีชีวิตของเกษตรกรในพื้นที่ลุ่มต่ำด้วยการปรับปฏิทินการเพาะปลูกของเกษตรกร ทำการปลูกข้าวนาปีให้เร็วขึ้นและวางแผนการส่งน้ำสำหรับการเพาะปลูกข้าวนาปี
จากเดิมที่ปลูกข้าวในเดือนพฤษภาคมจะปรับปฏิทินเลื่อนเวลาการปลูกเร็วในเดือนเมษายน และเก็บเกี่ยวผลผลิตภายในเดือนกรกฎาคมก่อนฤดูน้ำหลาก เพื่อไม่ให้พื้นที่ดังกล่าวได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในเขตชุมชน ขณะเดียวกันหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วจะใช้พื้นที่เป็นแก้มลิงชั่วคราวเพื่อรองรับการระบายน้ำเข้าพื้นที่ลุ่มต่ำบางระกำ ชะลอการระบายน้ำไม่ให้มีผลกระทบกับพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง
ทั้งนี้ บูรณาการร่วมกับกรมประมงเพื่อปล่อยพันธุ์ปลาให้เกษตรกรมีอาชีพเสริมในการทำอาชีพประมงและการแปรรูปผลผลิตปลา เพื่อสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร
“สิ่งที่ได้คือผลผลิตของชาวบ้านก็ไม่เกิดความเสียหาย ขณะเดียวกันเรายังสามารถลดปริมาณน้ำต้นทุนสำหรับการปลูกข้าวนาปรังได้อีกทาง เนื่องจากน้ำที่หน่วงไว้เราไม่ได้ระบายออกทีเดียว ยังเหลือไว้ประมาณ 30% เพื่อเตรียมแปลงปลูกข้าวในฤดูแล้งต่อไป แนวทางนี้ยังช่วยประหยัดงบประมาณภาครัฐ ในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติด้านเกษตรและประหยัดงบประมาณในการป้องกันอุทกภัยในพื้นที่อีกด้วย”
กุญแจสำคัญที่ทำให้ ‘โครงการบางระกำโมเดล’ ประสบความสำเร็จ
ความสำเร็จเป็นรูปธรรมของโครงการบางระกำโมเดล ตั้งแต่ปี 2560-2567 สามารถใช้พื้นที่โครงการรองรับน้ำหลากในช่วงวิกฤติของแม่น้ำยม ลดผลกระทบจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นในเขตชุมชนและสถานที่ราชการจังหวัดสุโขทัย ชะลอการระบายน้ำลดกระทบกับพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างได้สูงสุดประมาณ 400 ล้านลูกบาศก์เมตร
จิ๊กซอว์ชิ้นแรกคือความร่วมมือในการบริหารน้ำต้นทุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง “ภาครัฐจะดำเนินการบริหารจัดการน้ำโดยการส่งน้ำให้เป็นไปตามปริมาณน้ำต้นทุนที่มี และการระบายน้ำเป็นไปตามกรอบระยะเวลา จะทำให้ในพื้นที่บางระกำไม่ได้รับความเสียหาย แนวทางคือรับน้ำจากลุ่มน้ำน่านสำหรับปลูกข้าว โดยที่เขื่อนสิริกิติ์สามารถส่งน้ำเข้าพื้นที่ได้ตรงตามรอบเวรการส่งน้ำ โดยจะทดน้ำไว้ที่เขื่อนนเรศวร ก่อนจะนำน้ำเข้าพื้นที่ เป็นการบริการจัดการน้ำโดยจัดรอบเวรการส่งน้ำ ทำให้ชาวบ้านได้รับน้ำเพียงพอสำหรับเพาะปลูกนอกฤดูนาปี”
แต่จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ทำให้บางระกำโมเดลสามารถดำเนินโครงการต่อเนื่องเข้าสู่ปีที่ 9 คือ ความร่วมมือของเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่ “ความร่วมมือของชุมชนเป็นกุญแจสำคัญ ตั้งแต่ความร่วมมือในการปรับเปลี่ยนปฏิทินปลูกข้าว และยินยอมให้เป็นพื้นที่รับน้ำท่วมระหว่างวันที่ 16 เดือนสิงหาคมถึงวันที่ 31 เดือนตุลาคมของทุกปี”
“ตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงปัจจุบัน เราพบว่าไม่มีพื้นที่นาในลุ่มต่ำบางระกำได้รับความเสียหายจากฤดูน้ำหลาก และในช่วงฤดูฝนก็สามารถควบคุมระดับน้ำในพื้นที่ให้เหมาะสม ไม่ให้ท่วมเส้นทางสัญจรสายหลัก นอกจากนั้น การรับน้ำเข้าทุ่งเป็นการกำจัดวัชพืช ตัดวงจรโรคแมลงและหนูนา เพิ่มคุณภาพดิน ลดต้นทุนในการทำนา รวมถึงเก็บกักน้ำใช้เป็นต้นทุนในการทำนาฤดูนาปรัง ลดปริมาณการใช้น้ำจากเขื่อนสิริกิติ์ได้อีกทาง ที่สำคัญคือชาวบ้านมีรายได้เสริมจากการทำประมงและแปรรูปผลิตภัณฑ์ข้าวและปลา”
ต่อยอดความสำเร็จ ‘บางระกำโมเดล’ ปีที่ 9
สำหรับโครงการบางระกำโมเดลปี 2568 กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ดำเนินการตามมาตรการเตรียมความพร้อมรับมือฤดูฝน ภายใต้การบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มต่ำเพื่อรองรับน้ำหลาก โดยเพิ่มพื้นที่ดำเนินการในพื้นที่ลุ่มต่ำในเขตชลประทาน จากปี 2567 พื้นที่ 265,000 ไร่ เป็น 327,000 ไร่ ในปี 2568 ครอบคลุมพื้นที่ในเขตโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษายมน่าน 267,000 ไร่ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษานเรศวร 40,000 ไร่ และโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาพลายชุมพล 20,000 ไร่
ทั้งนี้ กรมชลประทาน ได้ดำเนินการบูรณาการทุกภาคส่วนกับหน่วยงานต่างๆ ในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อกำหนดแผนการบริหารจัดการน้ำและกรอบระยะเวลา เพื่อให้โครงการบรรลุวัตถุประสงค์ โดยมีเป้าหมายให้ประชาชนในพื้นที่ลุ่มต่ำระหว่างลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำน่าน โดยเฉพาะชุมชนในพื้นที่ลุ่มต่ำบางระกำหลุดพ้นจากสภาวะ ‘ฤดูแล้งน้ำขาด ฤดูฝนน้ำเกิน’