ข่าวช็อกวงการฟุตบอลไทยลีกชั่วโมงนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องของทีมชั้นนำของไทยอย่าง บางกอกกล๊าส เอฟซี ที่ต้องตกชั้นลงไปสู่ลีก M-150 แชมเปี้ยนชิป (T2) หลังจากเปิดบ้านพลาดท่าให้กับ นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี ไปด้วยผล 1-2 ไปเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งการตกชั้นครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของสโมสร นับตั้งแต่ซื้อกิจการสโมสรธนาคารกรุงไทยเมื่อปี 2552
ต้องบอกว่าปีนี้เป็นปีที่หลายทีมบนเวทีไทยลีกต่างผ่าตัดเปลี่ยนแปลงทีมกันเยอะ โดยหนึ่งในนั้นก็คือทีมบีจี เอฟซี ที่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่พื้นสนาม จากที่เคยใช้หญ้าเทียมก็เปลี่ยนมาใช้หญ้าจริง การเปลี่ยนโลโก้สโมสร ไปจนถึงชุดแข่งที่เปลี่ยนจากสีเขียวในแบบที่คุ้นตาสู่ชุดสีน้ำเงินพร้อมคอนเซปต์เครื่องจักรสีน้ำเงิน
แต่นั่นก็เป็นการเปลี่ยนแปลงดีๆ ที่เกิดขึ้นช่วงต้นฤดูกาล เพราะท้ายที่สุดความเปลี่ยนแปลงที่ยากเกินจะรับได้กับทีมระดับหัวแถวไทยลีก คือการตกชั้นไปสู่ลีกแชมเปี้ยนชิป ซึ่งเราจะมาวิเคราะห์ดูว่า 5 เหตุผลหลักอะไรบ้างที่ทำให้กองทัพ เดอะ แรบบิท ต้องตกชั้น
เหตุผลที่ 1 เปลี่ยนโค้ชบ่อยจนนักเตะปรับตัวไม่ทัน
อย่างที่ทราบกันดีว่า บางกอกกล๊าส เอฟซี ในช่วง 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนโค้ชไปร่วม 5 คน จาก ออเรลิโอ วิดมาร์ เฮดโค้ชชาวออสซี สู่ โค้ชจุ่น-อนุรักษ์ ศรีเกิด ที่คุมทีมอยู่ในตอนนี้ โดยการผลัดเปลี่ยนโค้ชของบีจีในแต่ละครั้งมีเหตุผลไปในทางเดียวกันคือ การทำให้ทีมพัฒนาไปสู่ผลงานที่ดีขึ้น แต่หากได้มองกลับกันจะพบว่า การเปลี่ยนโค้ชบ่อยก็ส่งผลกับทีมเช่นกัน เพราะตัวนักเตะจะต้องปรับสไตล์การเล่นให้เข้ากับผู้ฝึกสอนคนใหม่ๆ หรืออาจจะต้องปรับถึงตำแหน่งการยืนในสนาม แน่นอนว่านี่อาจเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ส่งผลต่อฟอร์มการเล่นในฤดูกาลเป็นอย่างมาก
เหตุผลที่ 2 จากสนามหญ้าเทียมสู่สนามหญ้าจริง
อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงของทีมในฤดูกาลนี้คือ การรื้อสนามหญ้าใหม่ทั้งหมด ที่เปลี่ยนจากหญ้าเทียมสู่หญ้าจริง นักเตะของทีมหลายคนที่อยู่กับสโมสรบีจีมานาน มักคุ้นชินกับการเล่นฟุตบอลบนผืนหญ้าเทียม และการเปลี่ยนรูปแบบสนามมาใช้หญ้าจริงย่อมส่งผลต่อผู้เล่นในบางส่วน ตรงที่การควบคุมลูกฟุตบอลบนสนามที่เปลี่ยนไป หรือหากเทียบผลงานการเล่นในบ้านที่พบว่าพวกเขาชนะได้เพียง 8 เกมจาก 17 เกมการแข่งในรังของตัวเอง
เหตุผลที่ 3 การเสริมทีมที่ไม่ช่วยอะไร
เป็นฤดูกาลที่กองทัพเดอะ แรบบิทต้องเสียเงินกับการเสริมทัพไปหลายร้อยล้านบาท กับการทุ่มซื้อผู้เล่นระดับท็อปของไทยลีกอย่าง ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ดีกรีกองกลางทีมชาติไทย รวมถึงตัวรุกคนดังอย่าง มาริโอ ยูรอฟสกี้ และคนอื่นๆ เพื่อหวังให้ทีมมีลุ้นคั่วแชมป์ลีกบ้าง แต่นั่นก็ไม่ได้ส่งผลดีตามที่สโมสรอยากเห็น จนสโมสรต้องทุ่มอีกครั้งในช่วงเลกที่สอง โดยดึง ธนบูรณ์ เกษารัตน์ มาร่วมทีมเพื่อหวังแก้วิกฤตในเลกที่สองของฤดูกาล แต่กลายเป็นว่าทั้งแข้งเก่า-ใหม่ เหมือนยังจูนกันไม่ติดดี โดยเฉพาะแข้งใหม่ที่แต่ละคนดูฟอร์มตกกันอย่างน่าใจหาย จนไม่สามารถเค้นฟอร์มเก่งช่วยให้ทีมรอดตกชั้นในที่สุด
เหตุผลที่ 4 การขาดหายไปของคีย์แมนหลักของฤดูกาลที่แล้ว
แฟนบอลเดอะ แรบบิทหลายคนที่เห็นฟอร์มของทีมในฤดูกาลนี้ คงจะมีไม่น้อยที่คิดถึงอดีตนักเตะที่เคยเป็นกำลังสำคัญของฤดูกาลที่แล้วอย่าง เอเรียล โรดริเกวซ รวมไปถึง ยาสมานี คัมโปส ที่ซัดไป 10 ประตู และ 10 แอสซิสต์ ที่พากันเก็บข้าวของย้ายออกจาก ลีโอ สเตเดียม ไปก่อนเปิดฤดูกาล และแม้ว่าทีมจะดึง เอเรียล โรดริเกวซ หัวหอกชาวคอสตาริกากลับมาช่วยทีมในเลกสอง แต่ก็ดูเหมือนอะไรหลายอย่างจะสายเกินไป เพราะรูปแบบและระบบของทีมมันเปลี่ยนไป
เหตุผลที่ 5 หลายทีมต่างดิ้นรนหนีตกชั้น
สำหรับเหตุผลข้อนี้อาจมีปัจจัยหลักที่ไม่ได้ขึ้นกับทีมบางกอกกล๊าสเสียทีเดียว เพราะอย่างที่รู้กันดีว่า ฤดูกาลนี้ในศึกไทยลีกต้องการทีมตกชั้นมากถึง 5 ทีม เพื่อที่จะปรับให้ฤดูกาลหน้าในไทยลีกเหลือทีมคุณภาพแค่ 16 ทีมเท่านั้น นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หลายๆ ทีมต่างเค้นฟอร์มเก่งออกมาให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ทีมอยู่รอดต่อไปในฤดูกาลนี้ และกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ทัพเดอะ แรบบิทต้องพบกับงานที่ยากลำบาก รวมถึงความกดดันจากหลายปัจจัยที่ถาโถมใส่เกินกว่าจะรับไหว จนเป็นผลทำให้ผลงานในฤดูกาลนี้ของพวกเขาจบลงแบบช็อกแฟนบอล และกลายเป็นทีมสุดท้ายที่โบกมือลาไทยลีกไปในฤดูกาลนี้
แต่อย่างไรก็ตาม จากความล้มเหลวของบีจี เอฟซีในฤดูกาลนี้ทำให้แฟนบอลบางส่วนกลัวว่าทีมอาจจะต้องโดนยุบไป ซึ่งนั้นจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน เพราะล่าสุด ปวิณ ภิรมย์ภักดี ประธานสโมสรฟุตบอลบางกอกกล๊าส เอฟซี ออกมายืนยันชัดเจนว่าจะไม่ยุติการทำทีมแม้จะตกชั้นก็ตาม แต่จะต้องดึงสโมสรหนีจากลีกดิวิชัน 2 เพื่อคัมแบ็กสู่ไทยลีกอีกครั้ง พร้อมขอให้แฟนบอลทุกคนโฟกัสไปลีกคัพ 2018 ซึ่งจะต้องเอาชนะ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด คว้าแชมป์มาให้แฟนบอลได้ฉลองครบรอบ 10 ปี ของการก่อตั้งสโมสรให้ได้
โดยทางบางกอกกล๊าส เอฟซี ยังเหลือโปรแกรมอีก 1 นัดในฤดูกาลนี้ คือการพบกับ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ในโตโยต้า ลีกคัพ รอบชิงชนะเลิศ วันที่ 20 ตุลาคมนี้ ที่สนามกีฬามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
ก่อนที่ฤดูกาลหน้าพวกเขาจะต้องสู้แชมเปี้ยนชิป ซึ่งเราจะต้องติดตามกันต่อไปว่าหลังจากนี้ บางกอกกล๊าส เอฟซี จะเปลี่ยนแปลงอีกทีมอย่างไรบ้าง และจะสามารถพาทีมกลับสู่ไทยลีกอย่างที่บอกได้หรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไป
Photo: Facebook Bangkok Glass FC – สโมสรฟุตบอลบางกอกกล๊าส
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า