ซีอีโอ ‘บางจาก’ เผยบริษัทมีแผนซื้อหุ้นคืนต่อเนื่อง 3 ปี เตรียมเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการภายในปีนี้ เชื่อราคาหุ้นปัจจุบันยังต่ำกว่ามูลค่า ล่าสุดประกาศปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ หวังดัน EBITDA จากราว 40,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวภายในปี 2571
วันนี้ (25 กันยายน) ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผยว่า ภายในปี 2571 บริษัทมีเป้าหมายที่จะเพิ่มกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อีก 100% จากปัจจุบันอยู่ที่ราว 40,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผู้ถือหุ้นผ่านโครงการซื้อหุ้นคืน (Share Buyback) ต่อเนื่อง 3 ปี
“เรามองว่าหุ้นเรามีมูลค่าต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน” ชัยวัฒน์กล่าว “โครงการซื้อหุ้นคืนจะเสนอเข้าที่ประชุมบอร์ดภายในปีนี้”
ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์ของบางจากที่ประกาศในวันนี้เป็นสิ่งที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการบริษัท ซึ่งรวมเอาความเห็นของคณะกรรมการทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการเดิมหรือคณะกรรมการใหม่ที่เข้ามาในปีนี้
อีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญของบางจากคือ การรักษาความเป็นผู้นำด้านอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (Top Tier TSR) ซึ่งสามารถพิจารณาได้จากผลตอบแทนจากราคาหุ้น (Capital Gain) และผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Payment) เมื่อเทียบกับบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน
ปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่
ชัยวัฒน์กล่าวต่อว่า การวางรากฐานธุรกิจให้แข็งแรงยิ่งขึ้นเพื่อการเติบโตในทศวรรษต่อไป บริษัทจะจัดโครงสร้างธุรกิจใหม่ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 โดยเปลี่ยนจาก 5 กลุ่มธุรกิจเดิม (โรงกลั่น, การตลาด, พลังงานไฟฟ้าสีเขียว, เชื้อเพลิงชีวภาพ และธุรกิจต้นน้ำ) มาเป็น 5 กลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีการบูรณาการและมีเป้าหมายที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ได้แก่
- กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการตลาด และพลังงานชีวภาพ เป็นการรวมธุรกิจโรงกลั่นบางจากพระโขนงและศรีราชา, ธุรกิจการตลาด และธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพ (BBGI) เข้าไว้ด้วยกันภายใต้การบริหารของทีมเดียว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดการทำงานซ้ำซ้อน และสร้าง Synergy ข้ามสายงาน โดยตั้งเป้า EBITDA ของธุรกิจนี้เติบโต 3 เท่า ภายในปี 2571
- กลุ่มธุรกิจการค้าน้ำมัน ยกระดับธุรกิจจัดหาน้ำมันและซื้อขายผลิตภัณฑ์จากหน่วยงานสนับสนุนขึ้นเป็น ธุรกิจเรือธง (Flagship) ใหม่ ของกลุ่มบางจาก โดยตั้งเป้าหมายการเติบโตของ EBITDA ถึง 5-8 เท่า หรือแตะระดับ 4,400 ล้านบาทภายใน 3 ปี จากการขยายการซื้อขายนอกเหนือจากการจัดหาให้เพียงโรงกลั่นในเครือ ไปสู่การเป็นผู้เล่นในตลาดโลกอย่างเต็มตัว
- กลุ่มธุรกิจต้นน้ำ (Upstream) กลับมาให้ความสำคัญกับธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมอีกครั้ง หลังจากเห็นแนวโน้มว่าโลกยังคงต้องพึ่งพาไฮโดรคาร์บอนต่อไปอีกอย่างน้อย 25 ปี โดยจะนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญจาก OKEA ซึ่งเป็นธุรกิจลงทุนในแหล่งปิโตรเลียมที่ประเทศนอร์เวย์ มาต่อยอดแสวงหาโอกาสการลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย
- กลุ่มธุรกิจไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐาน (Power and Infrastructure) เป็นการ ‘Reinventing’ หรือปรับเปลี่ยนทิศทางของ BCPG ใหม่ เนื่องจากตลาดพลังงานหมุนเวียนในประเทศมีการแข่งขันสูงและให้ผลตอบแทนน้อยลง โดยจะขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆ ที่มีความต้องการสูง เช่น Data Center และ Cloud Service พร้อมตั้งเป้าเพิ่ม EBITDA ของ BCPG เป็น 2 เท่า สู่ระดับมากกว่า 7,000 ล้านบาทใน 3 ปีข้างหน้า
- กลุ่มธุรกิจใหม่และนวัตกรรม (New Business and Holdings) ทำหน้าที่เป็นหน่วยลงทุนเชิงกลยุทธ์ ดูแลการลงทุนในธุรกิจที่ไม่เข้าพวกกับ 4 กลุ่มแรก และบริหารจัดการกองทุนมูลค่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับลงทุนในสตาร์ทอัพที่มีเทคโนโลยีแห่งอนาคต เช่น AI, Digital, Clean Molecules (แอมโมเนียสีเขียว, น้ำมันสังเคราะห์) และเทคโนโลยีแบตเตอรี่
จากการปรับโครงสร้างและแผนยุทธศาสตร์ใหม่จะช่วยให้ EBITDA เพิ่มขึ้นราว 10,000 ล้านบาทต่อปี จากสินทรัพย์และการดำเนินงานที่มีอยู่ในปัจจุบัน ขณะเดียวกัน บางจากจะยกระดับวินัยทางการเงินและการลงทุน (Investment Discipline) โดยจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการพิจารณาการลงทุนในภาพรวมของกลุ่ม มีการกำหนดเกณฑ์ผลตอบแทน (IRR) ขั้นต่ำของการลงทุนไว้ที่ 15%