ก่อนหน้านี้พูดถึง ใบปอ-ธิติยา จิระพรศิลป์ และ โทนี่-อันโทนี่ บุยเซอเรท์ หลายคนอาจจะไม่คุ้นหูและคุ้นตา แต่หลังจากทั้งสองคนเปิดตัวในฐานะนักแสดงนำใน You & Me & Me เธอกับฉันกับฉัน งานภาพยนตร์ล่าสุดของค่าย GDH ที่กำกับโดยสองฝาแฝด แวววรรณ-วรรณแวว หงษ์วิวัฒน์ อีกทั้งยังได้ โต้ง-บรรจง ปิสัญธนะกูล มาทำหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ เราเชื่อเหลือเกินว่านับถึงนาทีนี้ ‘เสน่ห์สดใส’ ของใบปอและโทนี่น่าจะเข้าไปกุมหัวใจใครหลายคนไปเรียบร้อยแล้ว
เราได้มีโอกาสทำความรู้จักกับใบปอและโทนี่ผ่านการสัมภาษณ์ในครั้งนี้ ก่อนจะพบว่าพวกเขาทั้งสองคนยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความฝันและความหลงใหลในโลกของนักแสดง และมันก็ยิ่งทำให้เชื่อว่า ‘ก้าวสำคัญ’ ในภาพยนตร์เรื่องแรกของทั้งคู่ จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นอีกยาวไกลบนเส้นทางบันเทิง
THE STANDARD POP ถือโอกาสพาทุกคนไปรู้จักกับตัวตนของใบปอและโทนี่ เราจะได้ทราบถึงเบื้องหลังในการทำงานของพวกเขาก่อนถูกเจียระไนหน้ากล้อง ตัวตนที่น่าค้นหา ทัศนคติจากวัยรุ่นยุคใหม่ และแง่มุมของการเป็นนักแสดงไฟแรง
ย้อนกลับไปในวัยเด็กของเด็กหญิงใบปอและเด็กชายโทนี่ ทั้งสองคนชอบทำกิจกรรมหรืออินกับสิ่งของอะไรกันบ้าง มีเหตุการณ์ใดที่จดจำได้ในตอนนั้น
ใบปอ: ของหนูคงเป็นเรื่องสถานที่ค่ะ ตอนเด็กๆ ที่มันอยู่ในความทรงจำเลยก็คือหนูไปเที่ยวเขาดินตรงราชดำเนิน แล้วหนูก็กำลังเดินลงไปดูฮิปโป จากนั้นคือสะดุดล้ม จนเข่าหนูเป็นแผลเป็นมาถึงทุกวันนี้ (ชี้ให้ดูแผลเป็น) จำได้ว่าเดินไปเซเว่นกับโกว (คำเรียกลำดับญาติแบบจีน แปลว่า พี่สาวของพ่อหรือป้า) แล้วก็ไปซื้อพลาสเตอร์มาติดค่ะ อ้อ นอกจากนี้หนูชอบไปร้านหนังสือค่ะ เวลาไปห้างทีไร สมมติว่าเวลากินข้าวเสร็จ หนูก็จะขอพ่อกับแม่ไปอยู่ร้านหนังสือ แล้วก็นั่งอ่านหนังสือที่ร้านทุกครั้งเลยค่ะ
โทนี่: โอ้โห เรื่องของเขาดีกว่าผมเยอะครับ (หัวเราะ) ของผมเป็นตุ๊กตายีราฟได้ไหม มันเป็นตุ๊กตาตัวแรกที่ผมยังเก็บจนถึงทุกวันนี้เลยครับ เป็นตุ๊กตาที่ผมติด แต่โตขึ้นก็ไม่ได้นอนกอดแล้ว อาจเป็นเพราะไม่ได้กลัวอะไรแล้ว
เมื่อกลับไปย้อนมองตัวเองในอดีต ใบปอและโทนี่ไม่ชอบตัวเองด้านไหนบ้าง
ใบปอ: สิ่งที่หนูไม่ชอบในตอนเด็กคือหนูเป็นคนประเภทเจ้าหนูจำไมค่ะ เป็นคนพูดเยอะแล้วก็ช่างพูดช่างถาม คือทุกวันนี้หนูก็ยังเป็นอยู่ (หัวเราะลั่น) แต่ถ้าเทียบตอนนี้อยู่กับคนอื่นๆ หนูก็ไม่ได้พูดเยอะนะ ตัดภาพไปที่เมื่อก่อนคือจะพูดเยอะกับทุกคนเลย
โทนี่: อาจเป็นในเรื่องของความฝืนใจครับ มันมีอยู่ครั้งหนึ่ง ปกติผมเตะบอลมาโดยตลอด แต่แม่ไม่เคยมาดูสักครั้ง จนมีวันหนึ่งที่แม่มา และผมรู้ว่า เฮ้ย แม่มาแล้วเราต้องโชว์ฟอร์มหน่อย หลังจากนั้นมันตื่นเต้นจนตะคริวกิน แล้วมันเตะไม่ได้ โอ้โห ผมเจ็บมาก ปวดมาก ฝืน อยากโชว์แม่ อยากทำให้แม่ภูมิใจ มันเป็นการกดดันตัวเองอย่างหนึ่งเลยนะ
แล้วตอนนี้ทั้งสองชอบตัวเองในด้านไหน ไม่ว่าจะเป็นด้านทัศนคติหรือนิสัยใจคอต่างๆ
ใบปอ: หนูชอบตัวเองในตอนนี้ที่เป็นคนอยู่กับปัจจุบัน เป็นคนที่ไม่คิดถึงอนาคตและอดีต เน้นกับการเอ็นจอยปัจจุบัน และหนูรู้สึกชอบตัวเองตรงที่เป็นคนที่ใช้ชีวิตแบบให้มีความสุขที่สุดเท่าที่จะทำได้
โทนี่: อันนี้เขาด่าผมนะ (หันหน้าไปทางใบปอ) ผมเป็นคนที่กังวลในเรื่องของอนาคต ชอบคิดเรื่องอนาคต (หัวเราะ) ถ้าเป็นในตอนนี้ผมน่าจะชอบในความมั่นใจของผม ผมรู้สึกว่าความมั่นใจมันทำให้ผมได้มาแสดงหนังเรื่องนี้ ทำให้ผมได้มาอยู่ตรงนี้ ทุกอย่างเป็นเพราะความมั่นใจของผม
แล้วชีวิตในตอนล่าสุดนี้มีจุดไหนที่ตัวเองเปลี่ยนแปลงไปบ้างเมื่อเทียบกับตอนเป็นเด็ก
ใบปอ: อย่างแรกเลย สิ่งที่เป็นรูปธรรมมากที่สุดคือเหมือนโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้น และจุดสำคัญที่ทำให้เปลี่ยนไปคือการได้มาเล่นหนังเรื่องนี้นี่แหละค่ะ มันทำให้หนูโตขึ้นจริงๆ ทั้งความคิด การใช้ชีวิตทุกอย่าง รู้สึกว่ามันโตขึ้นมากๆ จากเมื่อก่อนถ้าเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน
โทนี่: เหมือนใบปอเลยครับ ผมรู้สึกว่ายิ่งเวลาผ่านไป เราโตขึ้น โตขึ้นของผมก็คือการที่เรายอมเปิดใจฟังผู้ใหญ่ เพื่อที่จะพัฒนาตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง ตอนเด็กๆ ผมเป็นคนที่เหมือนซนๆ และไม่ค่อยฟังผู้ใหญ่ จะคิดว่าเราถูก แต่จริงๆ เราไม่รู้เท่าผู้ใหญ่หรอก ผมรู้สึกว่าการที่ผมเปิดใจฟังมากขึ้น แล้วก็เอามาพัฒนาตัวเอง เป็นสิ่งที่ทำให้ผมโตขึ้นครับ
นอกเหนือจากการแสดง มีความสามารถพิเศษอื่นๆ อะไรบ้าง ที่ไม่มีใครรู้ว่าใบปอและโทนี่ทำได้
ใบปอ: จริงๆ หนูรำได้ รำแบบจริงจังด้วย เคยเป็นนางรำตอนช่วง ม.ต้น หนูซ้อมรำเพื่อที่จะไปแข่งของโรงเรียนแบบงานศิลปหัตถกรรม ตอน ม.2 แข่งกันจริงจังมาก อันนั้นก็เป็นเหมือนอีกจุดหนึ่งที่เปลี่ยนชีวิตหนูเหมือนกันนะ รู้สึกว่าเราจะต้องทุ่มเทให้กับอะไรบางสิ่งบางอย่าง ด้วยความที่ตอนนั้นมันก็เด็ก รู้สึกว่าแค่การได้ใช้ชีวิตในโรงเรียนกับรุ่นพี่มันก็แฮปปี้แล้ว มันสนุกมาก ได้ฝึกความอดทน แล้วก็รู้สึกว่าจะต้องเสียสละอะไรบางอย่าง อย่างเช่น ถ้าเพื่อนคนอื่นๆ เรียนกันปกติ แต่เราคือลาเรียนประจำ ต้องกลับมาตามเรียน เป็นการเสียสละเวลาอยู่ค่ะ
โทนี่: ผมกระดิกหูเป็น มันเท่มากเลยนะพี่ ผมภูมิใจนะ (โทนี่กระดิกหูอวด)
ทำไมถึงสนใจในการก้าวเข้ามาเป็นนักแสดง มันเกิดจากอะไร
ใบปอ: ก้าวแรกของการมาเป็นนักแสดง อืม… (ทำหน้านึก) หนูรู้สึกว่านักแสดงมันไม่ได้มีดีแค่การไปแอ็กติ้งหน้ากล้อง อาชีพนี้มันมีอะไรมากกว่านั้น พอได้มาทำจริงๆ กว่าเราจะเป็นตัวละครหนึ่งได้มันต้องผ่านอะไรมาเยอะมาก อย่างหนังเรื่องนี้ มันทำให้หนูก้าวข้ามผ่านเส้นบางอย่างที่หนูกลัวมาโดยตลอด เช่น การเล่นดนตรี การขี่มอเตอร์ไซค์ หรือว่าการไปใช้ชีวิตอยู่ต่างจังหวัดนานๆ รู้สึกว่ามันทำให้หนูก้าวข้ามผ่านอะไรไปเยอะมาก และเราก็รู้สึกหลงรักตัวละครไปเลย ทุกครั้งที่ไปทำมันก็ดีใจ และก็ยังอยากทำต่อไปเรื่อยๆ สำหรับอาชีพนักแสดง ตั้งแต่วันแรกที่ออกกองถึงวันสุดท้าย ก็รู้สึกว่าเราโตขึ้นไปกับตัวละครพวกนี้จริงๆ พอมันไปถึงซีนจบ ตอนที่มันจะต้องปิดกล้องแล้วรู้สึกใจหายมากเลยค่ะ
โทนี่: การที่ผมมาเป็นนักแสดงหรือการเข้าวงการเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมมองในลิสต์เลยนะ เพราะตลอดมาผมคิดว่าการเป็นนักแสดงหรือเป็นดารามันก็แค่ใช้หน้าตา ถ้าเอาตรงๆ เรามองว่ามันใช้แค่หน้าตา มันไม่ต้องการสกิล แต่พอเรามาทำจริงๆ แล้ว การเวิร์กช็อป การไปเรียนขี่มอเตอร์ไซค์ การพายเรือ การไปอยู่นครพนม การเปลี่ยนชุด อะไรมันยากกว่าที่เราคิดตั้งแต่แรก ยังไงทุกวันนี้คนภายนอกก็ยังไม่เห็นภาพเท่าพวกเรา เพราะเราอยู่ในสถานการณ์นั้นจริงๆ
ใบปอและโทนี่อยากแสดงบทบาทอะไรอีกบ้างหลังจากนี้ หรือลองยกตัวอย่างที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่ต้องการทดลองให้เราฟังหน่อย
โทนี่: จริงๆ ผมอยากเล่นประมาณสองบทครับ เพราะไปดูหนังเรื่องหนึ่งมาเลยรู้สึกว่ามันน่าสนใจ ผมไปดู The Basketball Diaries แล้วเป็นบทคนติดยา อีกอันหนึ่งเป็นบทออทิสติก ผมว่ามันเป็นแนวที่คนจะไม่ค่อยได้เห็น โดยเฉพาะคนไทย แต่ฝรั่งจะมีเยอะ ถ้าเล่นได้ถึง ตีบทแตก ผมว่าคนน่าจะอินมาก
ใบปอ: หนูก็อยากลองไปเรื่อยๆ จริงๆ หนูชอบตัวละครหนึ่งมาก นั่นคือ Wednesday Addams หนูชอบมากๆ อยากลองเป็นแบบนั้นบ้าง ดูเป็นบทที่ลึกลับซับซ้อนมาก
“ถ้าใช้คำว่า You & Me ก็ต้องบอกว่าเป็น ‘ใบปอ’ เป็นคนหนึ่งที่เข้ามาในชีวิตการทำงานของผม และรู้สึกว่าผมดีใจมากที่เป็นคนนี้ เพราะว่าการทำงานที่ดีผมรู้สึกว่ามันต้องมีพาร์ตเนอร์ที่ดี และเขาเป็นคนที่ทำหน้าที่พาร์ตเนอร์ได้ดีจริงๆ” – โทนี่
You & Me ในชีวิตจริงของใบปอและโทนี่ มีความสัมพันธ์ไหนที่เป็นความสัมพันธ์พิเศษแบบที่ลืมไม่ลง
ใบปอ: หนูมีพี่สาว แต่ไม่ใช่พี่แท้ๆ เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน อายุเราใกล้ๆ กันค่ะ ในความทรงจำหนูคืออยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ แม่หนูเป็นคนสุพรรณบุรี เป็นพี่น้องกับแม่เขา ทำให้เวลาหนูกลับไปต่างจังหวัดก็จะอยู่กับคนคนนี้ตลอด มันจะมีภาพจำที่เราต้องใส่ชุดเหมือนกัน เหมือนเป็นฝาแฝดกันเลยค่ะ ในความทรงจำคือเป็นเพื่อนเล่น อยู่ด้วยกันจนถึงทุกวันนี้ ตอนนี้ก็อาจจะคุยกันน้อยลงบ้างด้วยความที่ต่างคนก็ต่างไปใช้ชีวิต โตขึ้น แต่เป็นความสุขที่เวลามองกลับไปก็คือมีเขาอยู่ในความทรงจำนั้นๆ แทบจะทุกสถานการณ์เลยค่ะ
โทนี่: ถ้าใช้คำว่า You & Me ก็ต้องบอกว่าเป็นใบปอ เพราะเขา Portrait การเป็นยูและมีได้ดีมากๆ เป็นคนหนึ่งที่เข้ามาในชีวิตการทำงานของผม และผมรู้สึกดีใจมากที่เป็นคนนี้ เพราะว่าการทำงานที่ดีผมรู้สึกว่ามันต้องมีพาร์ตเนอร์ที่ดี และเขาเป็นคนที่ทำหน้าที่พาร์ตเนอร์ได้ดีจริงๆ เลยเป็น You & Me ที่ดีมากๆ ครับ มันจะมีช่วงที่เราทั้งคู่ดาวน์เพราะเราอยากทำให้มันดีที่สุด มีความกดดันในตัวเอง แต่เราก็อยู่คุยด้วยกันตั้งแต่วันแรกจนทำออกมาสำเร็จ
ใบปอเคยมีประสบการณ์ถ่ายโฆษณาและมิวสิกวิดีโอ ส่วนโทนี่เคยเล่นละครมา ทั้งสองต่างเอาประสบการณ์เหล่านั้นมาใช้กับการทำงานในภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างไรบ้าง
ใบปอ: สิ่งแรกเลยคือเราชินกับการออกกองไปถ่ายโฆษณาและเอ็มวีมาบ้างแล้ว ไม่ได้ตื่นเต้นกับเรื่องนี้มาก ส่วนในเรื่องการแสดง หนูคิดว่าด้วยความที่มิวสิกวิดีโอกับภาพยนตร์มันเป็นคนละสายงานกัน การแสดงก็จะคนละแบบเลย ส่วนใหญ่จะเป็นความชินกับบรรยากาศในกองถ่ายมากกว่าค่ะ ไม่เขินหน้ากล้อง
โทนี่: จริงๆ ผมเคยมีการถ่ายโฆษณาและแสดงละคร แต่บทบาทน้อยมากๆ ชื่อเรื่อง กะรัตรัก ครับ เป็นลูกของพี่แซม ยุรนันท์ ตอนนั้นไว้ผมยาวเลย น่าจะหายาก ถ้าอยากเจอลองเสิร์ชดูในยูทูบครับ ตอนนั้นไม่ได้จริงจังอะไรกับการเข้าวงการเลย แต่ผมเคยคิดมาตลอดว่าถ้าได้ทำด้านนี้จริงๆ ผมอยากแสดงกับทาง GDH แล้วสุดท้ายก็ได้มาทำจริงๆ เร็วกว่าที่คิด ได้เห็นการทำงานของ GDH ว่ามันดีจริงๆ ผมยังต้องสังเกตและเรียนรู้เพิ่มอีก และเราไม่ผิดหวัง คือผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นนักแสดงมากกว่าดารา ถึงจะยังไม่ใช่ดาราแต่ผมคิดว่าตัวเองมี Mindset ของนักแสดง
“พอเราต้องมาเป็นตัวละครตัวหนึ่ง เรารู้สึกว่าเราใช้เวลากับมันเยอะมาก ต้องคิดในแบบมัน ทำให้มีสติ สมาธิ มากขึ้นครับ” – โทนี่
ได้อะไรจากการเป็นนักแสดงบ้าง ตั้งแต่ช่วง Pre-Production ยันวันสุดท้ายของการถ่ายทำ
โทนี่: ผมว่าการแสดงมันไม่ได้ง่ายเหมือนที่เราคิด เหมือนที่ทุกคนคิด พอเรามาทำจริงๆ มันมีหลายสเต็ปมากๆ กว่าจะได้มาเป็นตัวละครนี้ มันทำให้ผมโตขึ้นนะพี่ เพราะปกติผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไร แต่พอเราต้องมาเป็นตัวละครตัวหนึ่ง เรารู้สึกว่าเราใช้เวลากับมันเยอะมาก ต้องคิดในแบบมัน ทำให้มีสติ สมาธิ มากขึ้นครับ
ใบปอ: หนูว่ามันได้อะไรหลายอย่างมาก มันได้ประสบการณ์ที่หนูคิดว่าต่อให้หนูจะโตไปอีกแค่ไหนมันก็จะไม่มีสิ่งนี้แล้ว มันเยอะมากจริงๆ หนูผูกพันกับกองนี้มาก เพราะทุกคนน่ารัก ทุกคนดีมาก ทำให้ชีวิตในการออกกองของหนูมันแฮปปี้มากๆ ชีวิตในกองคือมันไม่มีวันไหนที่หนูไม่อยากออกไป ไม่อยากไม่ตื่นขึ้นไปทำงานเลย หนูอยากไปทำงานทุกวัน ถึงหนูจะต้องรันคนเดียวตั้งแต่หกโมงเช้าจนถึงสี่ทุ่ม นับเป็นสิบห้าชั่วโมงอะไรอย่างน้ี แต่มันแฮปปี้มากๆ เลย เพราะว่ามันไม่ได้มีแค่หนูคนเดียวที่เหนื่อย แต่ทุกคนในกองก็เหนื่อยเหมือนกัน
ทั้งสองคนมีใครเป็น Role Model ในการแสดงบ้าง
ใบปอ: หนูชอบ Anya Taylor Joy มากๆ! (ปรบมือยืนยัน) หนูชอบเขามากๆ ชอบจริงๆ รู้สึกว่าเขาเป็นนักแสดงที่เล่นพีเรียดได้เก่งมากๆ
โทนี่: ผมเป็น Leonardo DiCaprio ผมเซฟคลิปเขาเต็มไปหมดเลยใน Tiktok และ IG ผมชอบมาก เมมแทบจะเต็มหมดแล้วเนี่ย เขาใช้สายตาเก่งมากเลย สิ่งที่สำคัญที่สุดในการแสดงคือการสื่อด้วยสายตา มันสื่อได้หลายอย่างมาก หล่อด้วย หล่อเท่ (ทำหน้ากรุ้มกริ่ม)
ทั้งสองทำการบ้านกับตัวละครของตนเองอย่างไรบ้างตั้งแต่ช่วงเวิร์กช็อปเป็นต้นมา มีความท้าทายอย่างไร
ใบปอ: ด้วยความที่หนูต้องเล่นเป็นแฝด เราต้องทำการบ้านเรื่องความสัมพันธ์ของแฝดว่าแฝดเขารู้สึกอย่างไรต่อกันจริงๆ แฝดมันไม่เหมือนพี่น้องปกติ จะมีความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของในชีวิตของกันและกัน ถ้าเป็นพี่น้องปกติมันอาจจะไม่ขนาดนี้ แต่แฝดคือเขาเกิดมาเขาก็เจอกันแล้ว ผูกพันกันมาตั้งแต่ในท้องแม่แล้วจริงๆ และเราก็ต้องทำการบ้านเรื่องนิสัยของยูและมี ยูและมีชอบอะไร ต้องอัดคลิปเล่าไดอะรีส่งแอ็กติ้งโค้ชทุกวัน และจะมีแบบฝึกหัดที่เหมือนว่าเราต้องเล่าสิ่งที่ตัวเองทำให้กับกระจกฟัง เหมือนเราว่ามีฝาแฝดจริงๆ
ส่วนการเอาเรื่องราวของหนูกับน้องสาวมาใช้ ที่จริงเราห่างกัน 6 ปีเลย หนูจะใช้อินเนอร์นี้ในการเป็นยูมากกว่า ในแง่ของการเป็นพี่ที่เจ้ากี้เจ้าการ ออกคำสั่งหน่อย อะไรประมาณนี้ค่ะ (หัวเราะ) แล้วก็จะเอาอินเนอร์ของใบบัว (ชื่อน้องสาว) มาใส่ในตัวละครที่มีความง้องแง้ง
โทนี่: ของผมคือการพูดอีสาน มันเป็นอะไรที่ยาก จะทำให้เราแสดงไม่เต็มร้อยครับ เราจะยังกังวลเรื่องสำเนียงเรา แต่โชคดีมีผู้ช่วยที่อยู่ข้างๆ แล้วคอยบอกว่าไม่เป็นไร เรื่องสำเนียงค่อยว่ากัน เอาให้สุดก่อน เดี๋ยวค่อยไปอัดเสียงใหม่ได้ ผมเวิร์กช็อปกับพวกสำเนียงนอกเวลา พยายามพูดมันไปมาซ้ำๆ จนกว่าจะชินปากครับ
กว่าผมจะเข้าใจการเป็นหมากนั้นยากมาก มันมีสองอย่างคือหนึ่งไปนครพนม กับสอง ผมดูหนังเรื่องหนึ่งไว้เป็นแนวทางการแสดง เขาบอกว่าหมากเป็นคนนิสัยยังไง ผมมองว่าหมากมันเป็น Loser มันเป็นคนดีเกินไป ซึ่งเราก็จะไม่เข้าใจอารมณ์นั้น แต่ไม่ใช่เราเป็นคนที่แย่นะ (หัวเราะ) เขาเลยให้ผมไปดูหนังไว้ จะได้เข้าใจวิธีการคิด พอดูทบทวนไปซ้ำๆ เลยเริ่มเข้าถึง มองออกได้ว่าหมากมันไม่ใช่ Loser มันเป็นแค่คนดีคนหนึ่ง หวังดีกับคนรอบตัว ซื่อๆ น่ารัก
การจัดการทางอารมณ์ของใบปอทำยังไงบ้างเมื่อต้องสลับบทบาทเล่นเป็นยูและมี
ใบปอ: ในกองมันจะมีเต็นท์เปลี่ยนเสื้อผ้าอันหนึ่ง เราเรียกกันว่า ‘เต็นท์มหัศจรรย์’ เป็นเต็นท์ของพี่สไตลิสต์ เวลาที่จูนตัวเองเนี่ย ตอนเปลี่ยนเสื้อผ้าเราต้องจูนละว่าเราไม่ใช่คนนี้แล้ว ไปกลบไฝ ไปเปลี่ยนทรงผม มันก็คือช่วงเวลาที่จะต้องจูนตัวเอง ต้องทิ้งตรงนั้นไปให้หมด แล้วก็มาเป็นคนนี้แล้ว ออกเต็นท์มาก็คือเป็นคนใหม่เลย ฉันไม่ใช่คนนั้นละ
ขณะที่โทนี่ที่ทางกายภาพเป็นลูกครึ่งเลย เพราะฉะนั้นการเป็นคนอีสานจึงถือว่าเป็นเรื่องไกลตัวมากๆ ช่วงเวิร์กช็อปที่นครพนมเป็นอย่างไรบ้าง
โทนี่: จริงๆ เขาก็แค่รำคาญผมเลยส่งไปอยู่ที่โน่น เฮ้ย ล้อเล่น (หัวเราะ) คือเหมือนตอนเราเวิร์กช็อปกันหลายรอบ มันยังมีความเป็นฝรั่งอยู่ เขาต้องการให้มีความเป็นคนอีสานมากกว่านี้ เขาเลยมองว่าการไปนครพนม ไปอยู่กับแก๊งนครพนมน่าจะเป็นการตัดสินใจที่ดี เพื่อที่จะทำให้ผมเข้าใจฟีลของหมากได้ดีขึ้น
ตอนแรกผมก็บอกกับพี่ๆ ไปว่าผมไม่ไปได้ไหม เพราะว่าผมเป็นคนที่ไม่ชอบเข้าไปสนิทกับกลุ่มเพื่อนที่สนิทกันอยู่แล้วอะ มันจะมีความอึดอัดกัน ด้วยความที่เราเป็นคนมีกำแพง ไม่รู้ว่าเขาจะโอเคกับเราหรือเปล่า แต่พอไปจริงๆ แล้วเขาแม่งลุยจริง แบบน่ารักกันมากเลย น่ารักจนเราไม่อยากกลับมาเลย อ๋อ แล้วตอนนั้นเขาบอกว่าเราจะต้องมีขี่มอเตอร์ไซค์ในเรื่อง ซึ่งเป็นรุ่นที่ผมขี่ไม่เป็น ได้แผลมาด้วย เขาบอกว่าไปที่โน่นกลับมาแล้วต้องขี่เป็น แล้วผมก็ได้ไปพายเรือ กินอาหารเผ็ดๆ สนุกดีครับ
“ถามว่าเสียดายไหม คิดว่ามันก็คุ้มค่ะที่ได้มาทำตรงนี้ จริงๆ แล้วเพื่อนเคยบอกว่า ‘มึงไปใช้ชีวิตตรงนี้ก่อนกู เดี๋ยวพวกกูจะตามไปทีหลัง’ อันนี้ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นมากเลยค่ะ” – ใบปอ
ทั้งใบปอและโทนี่ยังอยู่ในช่วงมัธยม พอมาเจอการทำงานในวัยเด็กแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง เรียนรู้อะไรจากการทำงานเป็นนักแสดงในวัยเด็ก
ใบปอ: หนูยังใช้ชีวิตในโรงเรียนอยู่ด้วยค่ะ ก็ทำให้หนูรู้สึกว่าการที่หนูต้องมาทำงานไปด้วยและเรียนไปด้วยตรงนี้เหมือนว่าเราจะต้องมีความรับผิดชอบมากกว่าเด็กในวัยเดียวกัน ช่วงที่หนูต้องไปถ่ายหนังก็จะเป็นช่วงที่เพื่อนหนูทำงานไปแล้ว สอบกันไปแล้ว หลังจากที่หนูกลับมาจากนครพนม หนูก็ต้องไปตามสอบเลย มีเวลาอ่านหนังสือแค่ 4-5 ชั่วโมง สำหรับการสอบ 11 วิชาของโรงเรียน มันก็ทำให้เรารู้สึกว่าต้องมีความรับผิดชอบมากกว่าคนอื่น
บางทีเวลากลับไปโรงเรียนก็มีความรู้สึกที่ว่าเราโตกว่าเพื่อนคนอื่นๆ บางทีมีน้อยใจเหมือนกัน เวลาเพื่อนไปเที่ยว ก็คล้ายๆ ยู ไปเที่ยวกันแล้วไม่ได้ไปก็นอยด์ จากที่เคยไปด้วยกันตลอด อย่างเมื่อก่อนเพื่อนก็จะมาชวนหนูก่อน แต่ตอนนี้ไม่ชวนแล้วเพราะรู้ว่าเราไม่ว่าง ซึ่งเราก็เข้าใจในจุดนี้ มันก็มีช่วงที่แบบไปบ่นกับเพื่อน แล้วเพื่อนก็บอกว่า “มึงโชคดีแล้วที่ได้ไปทำอะไรแบบนี้ก่อน มันเกิดขึ้นกับคนน้อยมาก” ถามว่าเสียดายไหม คิดว่ามันก็คุ้มค่ะที่ได้มาทำตรงนี้จริงๆ แล้วเพื่อนเคยบอกว่า “มึงไปใช้ชีวิตตรงนี้ก่อนกู เดี๋ยวพวกกูจะตามไปทีหลัง” อันนี้ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นมากเลยค่ะ
โทนี่: มันจะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เรารู้สึกว่าทำไมเราโชคร้ายจังเลย เราต้องมาทำอะไรเร็วขนาดนี้ แต่อีกมุมหนึ่งถ้าเราคิดในแง่ดี ก็ไม่ได้มีทุกคนที่จะรับโอกาสดีๆ อย่างนี้ เราเลยรู้สึกว่าต้องทำให้มันคุ้มค่าไปเลย ต้องทำให้สุด ก็มีช่วงที่เหนื่อยๆ อยากไปเที่ยวกับเพื่อน คราวที่แล้วก็ไม่ได้ไปหัวหินกับเพื่อนๆ มันเศร้านะพี่ ผมเป็นคนที่ Deep เป็นคนที่เศร้ากับเรื่องนี้มาก คือการที่มองไปย้อนไปในอดีตการเป็นเด็ก เรากลับไปเด็กอีกครั้งไม่ได้แล้ว เรายังไม่ได้ใช้เวลาของความเป็นเด็กมากไปขนาดนั้น ยังไม่คุ้มพอ แต่ก็มองว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะได้มาทำสิ่งนี้ ก็มาทำให้ดีที่สุดเถอะ ให้มันสุดๆ ไปเลย
ช่วงนี้ท้ังสองอินกับเรื่องอะไรบ้าง ไลฟ์สไตล์ส่วนตัวเป็นยังไง ชื่นชอบและนิยมเสพสื่อไหนอยู่
ใบปอ: สิ่งที่หนูอินมาตลอดเลยคือแฟชั่น คือหนูเป็นคนที่ชอบแฟชั่น สนุกกับการแต่งตัวมากๆ ถ้าถามว่าแนวไหน คงเป็นวินเทจค่ะ หนูสนุกกับการมิกซ์แอนด์แมตช์เสื้อผ้า แต่สุดท้ายมันจะติดกลิ่นของความวินเทจมาตลอด อย่างใน IG หนูจะเต็มที่กับการแต่งตัวมากจริงๆ ส่วนหนังสือชอบอ่านนิยายแฟนตาซี ฟังเพลงแนวแล้วแต่วัน แล้วแต่มู้ด บางวันก็ 70 ไปเลย หนูโตมากับป๊า แล้วป๊าฟังเพลงเก่ามากพวก ชมพู ฟรุตตี้, ต้อม เรนโบว์, อ๊อด คีรีบูน อะไรประมาณนั้น จนถึงทุกวันนี้ก็ยังฟังนะ
โทนี่: เบสิกเลยก็คือฟุตบอล ที่ผมเริ่มอินมากขึ้นคือการแต่งตัวนั่นแหละ วันหนึ่งผมเคยไปเที่ยวกับใบปอ ผมคิดว่าตัวเองแต่งตัวดีมาก ผมใส่กางเกงขายาวอะไรมาอย่างดี เจอใบปอปุ๊บ ผมเลยเหล่ไปมองเขา แล้วก็พูดว่า ‘ถ้าไปยืนข้างยู ไอเหมือนขี้เลยนะ’ เขาโหดจริงๆ ยิ่งทำงานด้วยกันเลยต้องเอาสักหน่อย จัดมั่ง ส่วนเพลงผมชอบฟัง Frank Sinatra อะไรพวกนี้ ส่วนหนังก็ชอบ Call Me by Your Name ผมชอบไวบ์ของหนังมากๆ มันเรียลมากเลย สวยมาก ภาษาก็ดี ทิโมธีก็ดี ผมชอบอะไรแบบนี้
“มันเป็นมวลของความคิดถึง ทั้งเรื่องชีวิตวัยเด็ก การคิดถึงรักครั้งแรก มันน่าจะเข้าถึงกับชีวิตของใครหลายคน” – ใบปอ
ภาพยนตร์ You & Me & Me จะให้อะไรกับผู้ชมบ้าง อยากบอกอะไรกับทุกคน
ใบปอ: หนูว่ามันจะมอบความคิดถึงให้กับทุกคน มันเป็นมวลของความคิดถึง ทั้งเรื่องชีวิตวัยเด็ก การคิดถึงรักครั้งแรก มันน่าจะเข้าถึงกับชีวิตของใครหลายคนค่ะ หนูเชื่อว่าทุกคนจะต้องเคยผ่านช่วงชีวิตของรักครั้งแรก วัยเด็ก หรือว่าช่วงเวลายุค Y2K มาก่อน หนูว่ามันคือมวลของความคิดถึง อยากให้มาดูความเติบโตของแฝดยูและมี หนูว่ามันใหม่มากในหนังไทย
โทนี่: เราจะอยากช่วยเก็บผ้าเช็ดหน้า เอ้ย! มันจะทำให้เราเข้าใจความสัมพันธ์ของฝาแฝด ตอนแรกก็ไม่ค่อยเข้าใจว่ามันจะรักกันขนาดไหน มันจะเป็นพาร์ตเนอร์ถึงขั้นไหน แต่พอเรามาดูแล้วมันเป็นความสัมพันธ์ที่สวยงามมากๆ ผมว่าถ้าคนดูแล้วคงจะอินมากๆ แม้ไม่มีพี่น้องก็จะอิน หรือถ้ายิ่งมีก็คงยิ่งอิน ผมพูดไม่เก่งนะ แต่มันจะอยากมีขึ้นมาจริงๆ ผมยังรู้สึกอิจฉาแฝดเลย อยากจะมีใครสักคนที่เข้าใจเราแบบนี้จริงๆ เหมือนในหนัง เมื่อวานผมไปดู แฟนฉัน มา แม่บอกคิดถึงมากเลย ผมว่าเรื่องนี้จะทำให้คนดูกลับไปนึกถึงวันวานแบบนั้นครับ
You & Me & Me เธอกับฉันกับฉัน มีกำหนดเข้าฉาย 9 กุมภาพันธ์นี้ ในโรงภาพยนตร์
รับชมตัวอย่าง You & Me & Me ได้ที่นี่