การระบาดของโควิดทำให้โรงแรมที่สายป่านไม่ยาวต้องขายธุรกิจในมือออกไป ซึ่งรายงานจาก JLL เผยว่า AWC ของ ‘เจ้าสัวเจริญ’ คว้าตำแหน่งบริษัทที่ซื้อโรงแรมมากที่สุดในปี 2565
JLL ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์เผยว่า ในปี 2565 มีการซื้อขายโรงแรมที่มีคุณภาพเหมาะสำหรับการลงทุนเกิดขึ้นในประเทศไทยรวมทั้งสิ้น 14 รายการ ด้วยมูลค่ารวม 11,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 2564 ที่มีมูลค่าการซื้อขายรวม 12,300 ล้านบาท
สาเหตุที่ลดลงมาจากมีการซื้อขายบางรายการที่ดำเนินธุรกรรมเสร็จไม่ทันก่อนสิ้นปีถึงแม้จะทำสัญญาซื้อขายแล้ว โดยรายการซื้อขายเหล่านี้มีมูลค่ารวมประมาณ 4,000 ล้านบาท และจะดำเนินธุรกรรมเสร็จในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ธุรกิจท่องเที่ยวคึกคัก! ต่างชาติใช้จ่ายสูง ทำราคาห้องพักพุ่งขึ้น 30% AWC เล็งซื้อโรงแรมในหัวเมืองหลักเสริมพอร์ต
- กางแผน 5 ปี AWC ของเจ้าสัวเจริญ วางงบ 4 หมื่นล้านสำหรับเข้าซื้อกิจการ รับมีกว่า 200 โรงแรมมายื่นเสนอขาย:
- AWC ประกาศตั้ง ‘องค์กรการร่วมลงทุน’ มูลค่า 1.65 หมื่นล้านบาท ลุยธุรกิจโรงแรมตามแหล่งท่องเที่ยวไทย พร้อมโชว์กำไรปี 64 โต 192%
“แม้ปี 2565 มูลค่าการลงทุนซื้อขายโรงแรมจะปรับลดลง 10.6% จากปี 2564 แต่ยังคงนับได้ว่าเป็นอีกปีหนึ่งที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงเมื่อเทียบกับปี 2563 ซึ่งเป็นปีแรกที่ภาคการท่องเที่ยวของไทยเริ่มได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤตการณ์โควิด โดยในปีนั้นมีการซื้อขายโรงแรมรวมมูลค่าเพียง 1,900 ล้านบาท” จักรกริช จักรพันธุ์ ณ อยุธยา รองกรรมการผู้จัดการภาคพื้นเอเชีย หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรม JLL กล่าว
รายงานของ JLL ระบุว่า โรงแรมที่มีการซื้อขายในปี 2565 เป็นโรงแรมในกรุงเทพฯ, ภูเก็ต, เกาะสมุย, เกาะพะงัน, กระบี่, หัวหิน และเชียงใหม่ โดยกรุงเทพฯ ภูเก็ต และเกาะสมุย ยังคงเป็นทำเลยอดนิยมของนักลงทุน มีมูลค่ารวมกันคิดเป็นเกือบ 70% ของมูลค่าการซื้อขายที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา
กรุงเทพฯ เป็นตลาดการซื้อขายที่มีมูลค่าสูงสุด คิดเป็นเกือบ 40% ของมูลค่าทั้งหมด โดยมีการซื้อขายสองรายการสำคัญ ได้แก่ Oakwood Studios Sukhumvit Bangkok ขายให้กับ Worldwide Hotels Pte Ltd (WWH) จากสิงคโปร์ และ Grand Mercure Bangkok Windsor ขายให้กับ Asset World Corp (AWC) บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย โดย JLL เป็นตัวแทนผู้ขายสำหรับทั้งสองรายการนี้
อีกสิ่งที่น่าสนใจจากรายงานของ JLL คือ โรงแรมที่มีการซื้อขายในปี 2565 ผู้ขายทั้งหมดเป็นบริษัทหรือธุรกิจครอบครัวชาวไทย ใกล้เคียงกับในฝั่งของผู้ซื้อ ที่พบว่า 80% เป็นการซื้อโดยนักลงทุนไทย ซึ่งต่างจากปี 2564 ที่ราว 60% ของมูลค่าการซื้อขาย เป็นการซื้อโดยนักลงทุนต่างชาติ
AWC เป็นบริษัทที่ซื้อโรงแรมมากที่สุดในปีที่ผ่าน ทั้งนี้ นอกเหนือจาก Grand Mercure Bangkok Windsor แล้ว บริษัทยังได้เข้าซื้อ Westin Siray Bay ที่ภูเก็ต มูลค่าราว 2,500 ล้านบาท และ dusitD2 Chiang Mai ซึ่งได้ทำการตกลงซื้อขายในปี 2564 แต่ธุรกรรมการซื้อขายเสร็จสมบูรณ์ในปี 2565
สำหรับ AWC ในช่วงต้นปี 2565 ได้มีการเปิดเผยถึงแผนจัดตั้งองค์กรการร่วมทุน (Investment Vehicle) เพื่อเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจโรงแรมในแหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทย มีมูลค่าเงินลงทุนรวมสูงสุดประมาณ 500 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 16,500 ล้านบาท โดยบริษัทจะเข้าร่วมลงทุนประมาณ 15-60% ของมูลค่าเงินลงทุนทั้งหมด และส่วนเงินลงทุนที่เหลือจะเป็นการร่วมลงทุนจากผู้ลงทุนสถาบันชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ในการแถลงข่าวครบรอบ 2 ปีที่ติดนามสกุลมหาชน วัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ AWC ยอมรับว่า มีโรงแรมกว่า 200 แห่งที่เข้ามาเสนอขาย มีหลายขนาด ซึ่งอยู่ในพื้นที่ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด แต่การจะซื้อนั้นต้องดูความเหมาะสมด้วย โดย AWC จะพิจารณาดูศักยภาพและคัดเลือกโรงแรมที่เหมาะสม ซึ่งยังไม่ได้สรุปว่าจะซื้อเท่าไร
“คาดว่าปี 2566 จะเป็นอีกปีหนึ่งที่คึกคักสำหรับตลาดการลงทุนซื้อขายโรงแรมของไทย จากการที่นักลงทุนมีการแสดงความสนใจอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการมีรายการเจรจาซื้อขายหลายรายการเกิดขึ้นในขณะนี้ ทำให้เชื่อได้ว่ามูลค่าการลงทุนซื้อขายในปีนี้จะขยับขึ้นไปถึงที่ระดับ 12,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยรายปีของมูลค่าการซื้อขายในช่วง 10 ปี ระหว่างปี 2553-2562 ก่อนเกิดวิกฤตการณ์โควิด”
ปัจจัยต่างๆ ที่จะเอื้อให้มีการซื้อขายโรงแรมมากขึ้นในปีนี้ ได้แก่ การที่เจ้าของโรงแรมหลายรายได้พยายามรักษาโรงแรมของตนไว้ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าของเหล่านี้บางรายกำลังพบกับความท้าทายมากขึ้น จากการที่สถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้เริ่มลดนโยบายการประนอมหนี้ ประกอบกับภาวะที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น
แต่ในขณะเดียวกัน ภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากจีนกลับมาเปิดประเทศ ทำให้เจ้าของโรงแรมเหล่านี้มีความมั่นใจมากขึ้นว่า ตนเองเริ่มอยู่ในสถานะที่ดีขึ้นในการเจรจาการขายกับนักลงทุนที่สนใจจะซื้อ
ในด้านนักลงทุนพบว่า ยังมีทั้งนักลงทุนไทยและต่างชาติที่ให้ความสนใจอย่างต่อเนื่องในการเข้าซื้อโรงแรมที่มีคุณภาพเหมาะสำหรับการลงทุนในประเทศไทย โดยผลสำรวจความคิดเห็นของนักลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ที่ JLL จัดทำขึ้น แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้เป็นตลาดโรงแรมที่นักลงทุนให้ความสนใจมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในเอเชีย-แปซิฟิก รองจากญี่ปุ่น และออสเตรเลีย+นิวซีแลนด์