รอคอยมานานนับ 10 ปี ในที่สุดภาคต่อของภาพยนตร์ชื่อก้องโลก ‘Avatar: The Way of Water’ กำลังจะเข้าฉายวันที่ 16 ธันวาคมนี้ ไม่ใช่แค่คนดูที่เฝ้ารอ แต่ผู้กำกับอย่าง เจมส์ คาเมรอน ก็ใจจดใจจ่อว่าจะขาดทุนหรือกำไร
คาเมรอนให้สัมภาษณ์กับ GQ ว่า The Way of Water ใช้งบมหาศาลในการสร้าง และจำเป็นต้องเป็น ‘ภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดอันดับสามหรือสี่ในประวัติศาสตร์’ จึงจะถึงจุดคุ้มทุน
นั่นหมายความว่าจะต้องทำเงินอย่างน้อย 2.07 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 7.4 หมื่นล้านบาท เพื่อให้แซงหน้าภาพยนตร์อันดับ 4 ตลอดกาลอย่าง ‘Star Wars: The Force Awakens’
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- Black Panther: Wakanda Forever ขึ้นแท่นเป็นภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดเป็นอันดับที่ 2 ของปี 2022
- สู่ความรุ่งโรจน์หรือแผ่วลง? วิเคราะห์ก้าวต่อไปที่ท้าทายของจักรวาลหนัง Marvel เฟส 4 จะยังกุมใจแฟนคลับได้หรือไม่!
- ซีอีโอ Disney หวัง Disney+ ทำกำไรได้ในปีหน้าหากไม่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจเสียก่อน หลังมีฐานลูกค้ารวม 235 ล้านคน แซง Netflix ไปแล้ว
หากทำได้จริงจะทำให้ภาพยนตร์ที่คาเมรอนกำกับติด 3 ใน 5 ของภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล โดยตอนนี้ Avatar ภาคแรก และ Titanic อยู่ในอันดับ 1 และอันดับ 3 ตามลำดับ ส่วน Avengers: Endgame เป็นอันดับ 2
The Wall Street Journal รายงานว่า Avatar: The Way of Water จะได้เข้าฉายในจีนวันเดียวกับที่ฉายทั่วโลก โดยแดนมังกรนั้นถือเป็นตลาดโรงภาพยนตร์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก
กระนั้นแดนมังกรได้แซงหน้าอเมริกาเหนือในฐานะตลาดภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปี 2020 และ 2021 ขณะที่โรงภาพยนตร์ในสหรัฐฯ ประสบปัญหาฟื้นตัวจากโรคระบาด
จีนควรเป็นตลาดสำคัญสำหรับ Avatar: The Way of Water โดยภาคแรกนั้นทำรายได้ 262 ล้านดอลลาร์จากตลาดจีน รวมถึงเกือบ 60 ล้านดอลลาร์จากการออกฉายซ้ำเมื่อปีที่แล้ว ส่วนภาพรวมนั้นทำรายได้กว่า 2.9 พันล้านดอลลาร์
อ้างอิง: