วันนี้ (15 ธันวาคม) วัชรินทร์ ภาณุรัตน์ อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน กล่าวถึงความคืบหน้า กรณีเมื่อช่วงวันที่ 24-29 กรกฎาคม 2568 เกิดเหตุทหารกัมพูชายิงปืนและระเบิดตกมายังพื้นที่ 4 จังหวัดชายเเดนในไทย เป็นเหตุให้มีคนเสียชีวิต 32 ราย เเละบาดเจ็บ 238 ราย ทรัพย์สินเสียหายเกือบ 100 ล้านบาท ว่า เรื่องนี้ในส่วนคดีอาญาไม่ได้เงียบเฉย เพราะเมื่อเร็วๆ นี้ อิทธิพร แก้วทิพย์ อัยการสูงสุดได้พิจารณามีคำสั่งรับคดีที่ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ยื่นขอให้ดำเนินคดีกับ ฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา และ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่สั่งการยิงระเบิดจนเป็นเหตุให้คนไทยบาดเจ็บล้มตายไว้เป็นคดีนอกราชอาณาจักรแล้ว
พร้อมกันนี้อัยการสูงสุดยังมีคำสั่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 เป็นพนักงานสอบสวนและให้อัยการจากสำนักงานการสอบสวนไปร่วมสอบสวนคดี
วัชรินทร์กล่าวอีกว่า ในส่วนของสำนักงานการสอบสวนได้มีคำสั่งตั้งคณะทำงาน โดยตนเองเป็นหัวหน้าคณะทำงานและมีทีมอัยการสำนักงานสอบสวน รวมทั้งหมด 18 คน อีกทั้งทางอัยการสูงสุดได้มีคำสั่งตั้งให้อัยการจังหวัดในพื้นที่ที่เกิดความเสียหายเป็นอัยการเข้าร่วมการสอบสวนด้วย
เเละจะมีนัดประชุมกับทีมสอบสวนของผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค3 เพื่อวางหลักเกณฑ์แนวทางว่าควรต้องทําอย่างไร โดยคณะจะลงไปในพื้นที่ภาค 3 เอง ซึ่ง ป.วิอาญา มาตรา 20 ให้อํานาจอัยการร่วมสอบสวน มีอํานาจสั่งการแนะนําในการรวบรวมพยานหลักฐาน ถือว่าในคดีนอกราชอาณาจักร อัยการจะเป็นผู้คุมคดีนี้
“เราจะเข้าไปให้คําแนะนําและสั่งการในการรวบรวมพยานหลักฐาน ถ้าเราวางแนวทางเสร็จแล้วพยานหลักฐานใดที่ทางกองบัญชาการตํารวจภูธรภาค 3 จะสอบสวนเพิ่มเติม มีพยานอะไรอื่นใด ทางทีมงานเราพร้อมที่จะสอบให้ แต่ถ้าเกิดว่าเหตุจําเป็นเร่งด่วนในกรณีเช่นว่ามีพยานที่จะต้องสอบสวนก็สามารถมอบอัยการจังหวัดในพื้นที่เกิดเหตุร่วมสอบสวนได้” วัชรินทร์กล่าว
วัชรินทร์กล่าวต่อว่า พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดีนี้ คือผู้บัญชาการตํารวจภูธรภาค 3 ซึ่งจะเป็นผู้สรุปสํานวนทําความเห็น ว่าเห็นควรสั่งฟ้อง หรือเห็นควรสั่งไม่ฟ้องคดี เพื่อเสนออัยการสูงสุดพิจารณาแต่เพียงผู้เดียว ส่วนเมื่ออัยการสูงสุดพิจารณาเเล้ว จะสั่งสอบเพิ่มเติม หรือจะเห็นด้วยในพยานหลักฐานที่ชัดเจนทั้งหมด และก็สั่งฟ้องหรืออาจจะสั่งไม่ฟ้อง อันนี้เป็นดุลพินิจของอัยการสูงสุด


