การแข่งขันฟุตบอลยูโรปา ลีก เมื่อคืนวันที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมา นัดชิงชนะเลิศที่สนามสต๊าด เดอ ลียง ประเทศฝรั่งเศส เป็นการพบกันระหว่าง โอลิมปิก มาร์กเซย จากลีกเอิง ฝรั่งเศส ผู้เข้าท้าชิงเป็นสมัยที่ 5 และแชมป์เก่าเมื่อฤดูกาล 1992-93 พบกับแชมป์เก่า 2 สมัย แอตเลติโก มาดริด จากลาลีกา สเปน
เริ่มต้นเกมครึ่งแรก แม้ว่าจะเป็นมาร์กเซยที่เปิดเกมรุกใส่และได้โอกาสยิงก่อนหลายครั้ง แต่ในนาทีที่ 21 จังหวะที่ม็องด็องด้า ผู้รักษาประตูมาร์กเซยจ่ายบอลให้อองกีสซ่า จับบอลพลาด บอลไปเข้าทางกาบี้จากแอตมาดริด จ่ายบอลทะลุช่องให้กับอองตวน กรีซมันน์ หลุดเข้าไปดวลกับม็องด็องด้าแบบตัวต่อตัวและยิงเข้าประตู พาทีมขึ้นนำไปก่อน 1-0 ก่อนจะจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้
ครึ่งหลังเริ่มต้นได้เพียง 3 นาที แอตมาดริดขึ้นนำห่างเป็น 2-0 และเป็นกรีซมันน์ที่กระชากบอลขึ้นมาก่อนจะชิ่งบอลกับโกเก้ จ่ายบอลทะลุช่องกลับมาให้กรีซมันน์ชิพบอลหนีมือผู้รักษาประตู ยิงประตูที่ 2 ในเกมนี้ได้สำเร็จ
นาทีที่ 80 มาร์กเซยเกือบได้ประตูแรกจากจังหวะที่ซาร์เปิดบอลเข้ามาในกรอบเขตโทษ และเป็นคอนสแตนตินอส มิโตรกลู โหม่งเต็มๆ แต่บอลไปชนเสาสองกระเด้งกลับออกมา พลาดประตูตีไข่แตกไปอย่างน่าเสียดาย
แต่ก่อนหมดเวลาในนาทีที่ 88 แอตมาดริดปิดกล่องด้วยการยิงประตูทิ้งห่างไปเป็น 3-0 จากลูกยิงของกาบี้ ครบ 90 นาที แอตมาดริดคว้าแชมป์ยูโรปา ลีก ไปครองได้สำเร็จด้วยการเอาชนะมาร์กเซยไป 3-0 พร้อมทำสถิติแชมป์ 100 คว้าแชมป์ยูโรปา ลีก ได้ 3 สมัยจากการเข้าชิง 3 ครั้งในปี 2010, 2012 และ 2018
หลังเกม กรีซมันน์ ผู้ทำ 2 ประตูและคว้ารางวัลแมนออฟเดอะแมตช์ในเกมนี้ให้สัมภาษณ์เปิดเผยว่า เขาเตรียมพร้อมทำงานอย่างหนักตลอดมาเพื่อช่วงเวลาสำคัญแบบนี้
“ผมเตรียมพร้อมสำหรับเวลานี้มาหลายปี ผมออกจากบ้านมาตั้งแต่อายุ 14 ปีเพื่อสิ่งนี้ ผมจะฉลองพร้อมกับครอบครัวที่เดินทางมาในวันนี้ด้วย
“ผมไม่รู้จะอธิบายลูกยิงทั้งสองลูกอย่างไรเหมือนกัน ผมคงใช้คำว่าเลือดเย็นอธิบายจังหวะนั้น”
อ้างอิง:
