×

สถาบันวัคซีนแห่งชาติ เผยผลิต AstraZeneca ในไทย มีความก้าวหน้า ย้ำ WHO และ EU ให้การรับรองแล้วว่าปลอดภัย

โดย THE STANDARD TEAM
15.03.2021
  • LOADING...

วันนี้ (15 มีนาคม) นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ เผยว่า การผลิตวัคซีน AstraZeneca ในไทย มีความก้าวหน้าเป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยการดำเนินการผลิตวัคซีนของสยามไบโอไซเอนซ์ได้รับการควบคุมคุณภาพอย่างใกล้ชิดจากผู้เชี่ยวชาญของ AstraZeneca ให้เป็นไปตามมาตรฐานของบริษัท นอกจากนี้ สถาบันวัคซีนแห่งชาติ และกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้มีการติดตามความก้าวหน้าของการผลิตวัคซีนจากการรับถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง 

 

ปัจจุบัน สยามไบโอไซเอนซ์ได้ทยอยผลิตวัคซีนตั้งแต่ระดับต้นน้ำแล้วจำนวน 5 รุ่นการผลิต และอยู่ระหว่างการส่งตรวจคุณภาพวัคซีนที่ผลิตได้ ณ ห้องปฏิบัติการ อ้างอิงในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา พร้อมกันนี้ หน่วยงานควบคุมกำกับในประเทศ ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และ สถาบันชีววัตถุ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้มีการติดตามการดำเนินการอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างในการดำเนินการ และสามารถส่งมอบวัคซีนได้ในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งกำหนดการส่งมอบวัคซีนจาก AstraZeneca ให้แก่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข อยู่ในช่วงกลางปี 2564 โดยจะทยอยส่งมอบในอัตราเดือนละ 5-10 ล้านโดส จนครบ 61 ล้านโดส ซึ่งจะสอดคล้องกับแผนการฉีดวัคซีนของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข 

 

ทั้งนี้ สยามไบโอไซเอนซ์เป็นบริษัทผู้ผลิตยาและชีววัตถุ ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งใน 25 ฐานการผลิตวัคซีนของ AstraZeneca ที่กระจายอยู่ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก โดยเป็นโรงงานที่ได้รับการเสริมศักยภาพจากที่มีอยู่เดิม ไม่ใช่การสร้างโรงงานใหม่ตามที่หลายฝ่ายเข้าใจ โดยสยามไบโอไซเอนซ์ได้รับการประเมินจาก AstraZeneca ตั้งแต่ปลายไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 ภายใต้การพิจารณาองค์ประกอบหลายด้าน ได้แก่ ด้านศักยภาพและความเชี่ยวชาญของบุคลากร ความพร้อมของเครื่องมืออุปกรณ์การผลิต การผ่านการรับรองมาตรฐานและคุณภาพการผลิตระดับสากล ฯลฯ และได้รับการคัดเลือกเป็นฐานการผลิตวัคซีนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อเดือนกันยายน 2563 โดยเริ่มการถ่ายทอดเทคโนโลยีในราวต้นเดือนตุลาคม 2563 จนสามารถเริ่มการผลิตจริงในราวกลางเดือนธันวาคม 2563 

 

สำหรับประเด็นชะลอการใช้วัคซีน AstraZeneca ในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทย เนื่องจากมีรายงานการเกิดภาวะการเกิดลิ่มเลือดภายหลังการฉีดวัคซีนซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบที่ประเทศเดนมาร์กและนอร์เวย์นั้น องค์การอนามัยโลก (WHO) และหน่วยงานกำกับคุณภาพยาของสหภาพยุโรป (EU) ได้ให้การยืนยันว่า วัคซีนของ AstraZeneca เป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับวัคซีนจากบริษัทอื่นที่มีการใช้กันอย่างกว้างขวาง ทั้งนี้ วัคซีนของ AstraZeneca ได้มีการฉีดให้กับประชาชนในสหราชอาณาจักรแล้วมากกว่า 16 ล้านโดส จากข้อมูลไม่พบความกังวลด้านความปลอดภัยของวัคซีน จึงมีข้อแนะนำให้แต่ละประเทศดำเนินการฉีดวัคซีนต่อไปได้ 

 

ทั้งนี้ ประเทศไทยได้พิจารณาเริ่มการฉีดวัคซีนของ AstraZeneca ตามข้อแนะนำของหน่วยงานข้างต้น พร้อมกับการวางมาตรการติดตามด้านความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการดำเนินการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับประชาชนไทย

 

ส่วนการจัดหาวัคซีนอื่นที่จะนำมาฉีดให้แก่ประชาชนเฉพาะในช่วงไตรมาส 1-2 ของปี 2564 นั้น กระทรวงสาธารณสุขได้จัดหาวัคซีนจากบริษัท Sinovac ประเทศจีน จำนวน 2 ล้านโดส เพื่อใช้ในพื้นที่ที่มีสถานการณ์การระบาดของโรค ส่วนการส่งมอบวัคซีนล่าช้ากว่าแผนเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่วัคซีนมีจำนวนจำกัด ขณะที่ความต้องการวัคซีนมีสูงมาก และประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศได้ทำการจองซื้อวัคซีนล่วงหน้าในจำนวนที่มากกว่าประชากรในประเทศหลายเท่าตัว ทั้งนี้ การจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในช่วงที่มีภาวะฉุกเฉิน มีการแปรเปลี่ยนของสถานการณ์อย่างมาก ทั้งในส่วนที่จะมีวัคซีนใหม่ๆ ทยอยประกาศผล ประเทศไทยจะสามารถพิจารณาจัดหาวัคซีนเพิ่มได้อย่างเหมาะสม 

 

และในส่วนที่มีการรายงานเชื้อกลายพันธุ์ที่อาจส่งผลต่อการใช้วัคซีนที่ผลิตรุ่นแรก การที่ประเทศไทยในเวลานี้สามารถวิจัยพัฒนาและผลิตวัคซีนได้ตั้งแต่ต้นน้ำ จะเป็นหลักประกันอันดีว่าเราจะสามารถเข้าถึงวัคซีนได้ในเวลาที่เหมาะสม และสามารถพึ่งพาตนเองในการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ ทั้งในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 และโรคติดต่ออุบัติใหม่ในอนาคตได้

 

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X