วันนี้ (18 กุมภาพันธ์) พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นชี้แจงกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) อภิปรายตามมาตรา 152 ถึงกรณีเมืองทองอัคราว่า ประการแรกต้องเริ่มต้นทำความเข้าใจระหว่างกันว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจากอะไร ประเด็นสำคัญคือรัฐบาลทุกสมัยมีหน้าที่ในการพิจารณาหรือการนำทรัพยากรธรรมชาติออกมาใช้อย่างเหมาะสม จากรณีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อปี 2535 ซึ่งรัฐบาลในช่วงนั้นก็ได้เห็นชอบตามกฎหมายคือพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบกิจการเหมืองแร่ พ.ศ. 2510 โดยเชิญชวนให้มีการลงทุนและสนับสนุนให้ทำเมืองทองในเขตจังหวัดพิจิตร
จนกระทั่งปี 2554 รัฐบาลชุดต่อมาได้สั่งระงับการต่อประทานบัตรจำนวน 1 แปลง ยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยเหตุของความไม่ชัดเจนในหลายเรื่อง ซึ่งต่อมาได้มีปัญหาการฟ้องร้องและอยู่ในชั้นศาลถึงปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพ ซึ่งต่อมารัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาทำหน้าที่ในการบริหารบ้านเมืองในสภาวะที่ไม่ปกติ รัฐบาลจึงได้พิจารณานำทรัพยากรธรรมชาติออกมาใช้ประโยชน์ให้เหมาะสมเช่นเดียวกัน ท่ามกลางข้อโต้แย้งว่าขาดความรอบคอบและความรัดกุม ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลในการพิจารณาทบทวนข้อกฎหมาย เพื่อลดปัญหาที่หมักหมมมาอย่างยาวนาน โดยรัฐบาลมีความชอบธรรมที่จะดำเนินการใดๆ
พล.อ. ประยุทธ์กล่าวอีกว่า เป็นที่ทราบกันดีภายหลังจากการแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบกิจการเหมืองแร่ ปี 2560 ได้มีการออกนโยบายในการทำเหมืองแร่ใหม่ และมีบริษัทเอกชนที่ให้ความสนใจในการทำเหมืองแร่เข้ามาขอใบอนุญาตใหม่ และรายเดิมกว่า 100 ราย ยืนยันว่าเป็นการดำเนินการตามปกติ ซึ่งหากบริษัทเอกชนใดมีขีดความสามารถตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด ก็ย่อมมีสิทธิที่จะได้รับใบอนุญาต
ทั้งนี้บริษัทอัคราก็ถือเป็นบริษัทหนึ่ง ถึงแม้ว่าผู้ถือหุ้นภายในบริษัทจะมีคดีความฟ้องร้องต่อรัฐบาล แต่ก็ไม่ได้ถูกจำกัดสิทธิในการต่อใบอนุญาต ซึ่งตามที่ประทานบัตรจำนวน 1 แปลง ของบริษัทอัคราหมดอายุในปี 2555 ที่ยื่นขอต่ออายุเมื่อปี 2554 แต่ก็ยังถูกละงับการต่ออายุ และปี 2563 ทางบริษัทอัคราก็ถูกระงับการต่อสัญญาเพิ่มอีก 3 แปลงที่หมดอายุในปี 2559
ดังนั้นการที่ประเทศไทยมี พ.ร.บ.ประกอบกิจการเหมืองแร่ฉบับใหม่ ทำให้บริษัทอัคราได้ยื่นเอกสารเพิ่มเติมเพื่อขอต่ออายุทั้ง 4 แปลงดังกล่าว ซึ่งก็ได้ทำตามขั้นตอนที่บริษัทเอกชนอื่นทำ จึงเป็นที่มาในการได้รับอนุญาตต่อสัมปทาน
ทั้งนี้บริษัทอัคราก็เป็นเหมือนบริษัทเอกชนอื่นที่ขอต่อใบอนุญาตต่างๆ ตามขั้นตอนกฎหมายกำหนด ซึ่งการต่อสัมปทานอนุญาตให้กับบริษัทอัคราทั้ง 4 แปลง ยืนยันว่าเป็นแปลงเดิมที่เคยได้รับสัมปทานมาก่อนหน้านี้ ถ้าตนจะถูกตีความในการต่อใบอนุญาตให้กับบริษัทอัครา และยกทรัพยากรธรรมชาติให้กับเอกชนตามอำเภอใจ มองว่าเป็นข้อกล่าวหาตั้งแต่รัฐบาลในยุคนั้น หรือเป็นข้อกล่าวหาที่ขัดต่อนโยบายการทำเหมืองตั้งแต่อดีตที่ผูกพันจนถึงปัจจุบัน
สำหรับการต่อใบอนุญาตสำรวจเป็นหน้าที่ของกระทรวงอุตสาหกรรม ดังนั้นการที่สมาชิกอภิปรายโดยอ้างถึงการอนุญาตการสำรวจฉบับพิเศษนั้น ต้องเรียนว่าผู้อนุญาตสำรวจจะต้องมีขีดความสามารถในการสำรวจ ซึ่งหากได้รับการอนุญาตแล้วแต่ไม่สามารถสำรวจได้ จะต้องจ่ายเงินตามที่เราขอและค่าธรรมเนียมคืนให้กับกระทรวงอุตสาหกรรม
พล.อ. ประยุทธ์กล่าวต่อไปว่า ขอยืนยันผ่านประธานสภาผู้แทนราษฎรไปยังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่า การดำเนินการของรัฐบาลล้วนคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นหลัก โดยให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
“รัฐบาลไม่ต้องการทำเหมือง หรือยึดเอาเหมืองมาเป็นของรัฐ อาจจะมีความเข้าใจที่ไม่ตรงกันตรงนี้ ขอให้ปฏิบัติตามระเบียบและกฎหมายให้ถูกต้องและสมบูรณ์ รัฐบาลปัจจุบันยินดีต้อนรับนักธุรกิจและนักลงทุนที่สามารถปฏิบัติตามกฎหมาย และสร้างประโยชน์ให้กับพื้นที่และประชาชน ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบ สามารถสร้างความมั่นใจว่าจะไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ. ประยุทธ์ยืนยันว่าเรื่องนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการ ดังนั้นจะขอให้สมาชิกอภิปรายด้วยความระมัดระวังไม่ให้เกิดความเสียหายต่อความน่าเชื่อถือของประเทศ
พล.อ. ประยุทธ์กล่าวอีกว่า คำถามหลายข้อเกิดจากการอนุมานของผู้อภิปรายเอง ที่พยายามจะบิดเบือนให้ประชาชนเห็นว่ามีความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นจริง ตนได้ตอบและชี้แจงเสมอมา แต่ผู้อภิปรายอาจไม่ตั้งใจฟัง ซึ่งที่ผ่านมาตนพยายามชี้แจงให้เห็นว่าการเจรจาเกิดขึ้นจากคำแนะนำของคณะอนุญาโตตุลาการ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีต่อการเจรจาในเรื่องพิพาท
สำหรับการฟ้องร้องจากบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด เกิดจากความไม่เข้าใจและคิดว่าบริษัทลูกในประเทศไทยไม่ได้รับความเป็นธรรม และถูกเลือกปฏิบัติ จึงระบุว่ารัฐบาลมีเจตนายึดเหมืองอย่างคืบคลานโดยการไม่ต่อใบอนุญาตให้บริษัท และสำหรับการใช้มาตรา 44 ที่สมาชิกพยายามอภิปรายเพื่อชี้นำให้ประชาชนเข้าใจผิด เหมือนต้องการทำให้ประเทศไทยเกิดความเสียหาย และอยากให้ตนมีความผิดจากการใช้มาตรา 44 ซึ่งหากกิจการใดรัฐบาลทำไม่ถูกต้องชอบธรรม ก็ควรอธิบาย และไม่ควรนำเรื่องมาผูกกัน
“ท่านมีวิธีการแก้ปัญหาที่ดีกว่านี้อีกไหม เรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้ว เรื่องที่เป็นปัญหาอุปสรรค มีวิธีการที่ดีกว่ามาตรา 152 หรือไม่ ขอให้เสนอมาทุกเรื่อง ถ้าพูดและตีกันอยู่อย่างนี้ไม่เกิดประโยชน์อะไรต่อประเทศชาติ ขอให้สภาเป็นสถานที่ที่รับฟังข้อเสนอแนะ ตนพร้อมจะรับฟัง แต่ถ้ามุ่งหวังว่าจะตีรัฐบาล จะล้มรัฐบาล และจะให้นายกฯ ออกให้ได้ คิดว่ามันไม่ถูก ไม่ใช่หน้าที่ของท่าน หน้าที่ของท่านคือเข้าตามกระบวนการ และเมื่อวานนี้ที่เสนอให้ตนยื่นใบลาออก เก็บไว้ให้ตัวเองก็แล้วกัน ตนไม่ลาออกอะไรทั้งนั้น” พล.อ. ประยุทธ์กล่าวทิ้งท้าย