วันนี้ (7 สิงหาคม) มีการนัดหมายการชุมนุมโดยกลุ่มเยาวชนปลดแอก ในเวลา 13.00 น. ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก่อนเคลื่อนไปยังพระบรมมหาราชวัง ซึ่งเป็นการนัดหมายชุมนุมใหญ่อีกครั้งหนึ่งของแนวร่วมกลุ่มราษฎร เพื่อเรียกร้อง 3 ข้อ ให้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลาออกในทันที ให้นำงบสถาบันและกองทัพมาใช้ในการสู้โรคโควิด ให้เปลี่ยนวัคซีนที่อ้างว่าเป็นของเจ้าสัว CP มาใช้วัคซีน mRNA
ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ระบุว่า เบื้องต้นตำรวจมีการจัดเตรียมกำลังไว้ 38 กองร้อย หรือประมาณ 5,700 นายในการรับมือการชุมนุม พร้อมเตรียมกำลังสนับสนุนเพียงพอรองรับสถานการณ์ โดยจะมีการตั้งจุดตรวจ จุดสกัด 14 จุด รอบพื้นที่ชุมนุม เพื่อป้องกันเหตุร้ายและมือที่สาม ซึ่งแนวรั้งหน่วงสุดท้ายจะอยู่บริเวณหน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์และแยกพาณิชยการ
ขณะที่ล่าสุด THE STANDARD สำรวจพบบริเวณถนนราชดำเนินในและถนนราชินี บริเวณพระแม่ธรณีบีบมวยผม มีการนำตู้คอนเทนเนอร์มาวางเรียงปิดถนนห้ามเข้าพื้นที่ชั้นใน และมีการขึ้นป้ายข้อความว่า ‘ทหารของพระราชาและตำรวจของประชาชน (คนดี) รวมพลังปกป้องรักษา วัดพระแก้ว และพระบรมมหาราชวัง’ และข้อความว่า ‘ทหารของพระราชาและตำรวจของประชาชน (คนดี) รวมพลังปกป้องรักษา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และสถานที่สำคัญของชาติ’ ซึ่งมีการติดไว้บริเวณรั้วทางเข้าท้องสนามหลวงด้วย โดยตู้คอนเทนเนอร์มีการวางแนว 3 ชั้นก่อนถึงพระบรมมหาราชวัง
ขณะที่ภายในท้องสนามหลวงมีการนำตู้เหล็กบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ที่ไม่ได้ใช้งานแล้วมาวางเป็นแนวยาวตรงกลางท้องสนามหลวง จากฝั่งหอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไปจนถึงฝั่งหน้าศาลฎีกา และมีการปิดการจราจรถนนราชินีและถนนหน้าพระธาตุ และท่ามหาราชด้วย รวมถึงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ติดป้ายปิดทำการชั่วคราว จากมาตรการป้องกันโควิดที่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่รัฐทำงาน Work from Home ตั้งแต่วันที่ 30 กรฎาคม ถึว 30 กันยายน 2564
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ได้มีมติมอบหมาย ปรีดา คงแป้น, ผศ.สุชาติ เศรษฐมาลินี, ศยามล ไกยูรวงศ์ และ วสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พร้อมด้วยพนักงานเจ้าหน้าที่ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองในวันดังกล่าว เพื่อติดตามเฝ้าระวังว่าเสรีภาพในการชุมนุมและการแสดงออกของประชาชนได้รับการคุ้มครองหรือไม่ ผู้ชุมนุมได้ดำเนินการชุมนุมให้เป็นไปโดยสงบและปราศจากอาวุธหรือไม่ และปฏิบัติการของรัฐในการควบคุมฝูงชนเป็นไปตามหลักสากล หลักความจำเป็น และได้สัดส่วนกับสถานการณ์หรือไม่ อย่างไร